ความสุขมี ๒ ประเภท คือ ความสุขกาย (เวทนาทางกาย) และความสุขใจ (โสมนัส) ใจหรือจิตนี้ยังต้องพึ่งพาอาศัยกายในการทำกิจต่าง ๆ เช่นตาเห็นรูป เพราะจิตอาศัยจักขุปสาทรูปเป็นที่เกิด จึงทำให้เห็น(จิตเห็นหรือจักขุวิญญาณ) เกิด ใจอาศัยกายเพื่อสร้างกรรมใหม่ และเสวยวิบาก (ผลของกรรม) กรรมเก่าและวิบากกรรมใหม่ด้วย กายและใจหรือจิตนี้ยังแยกออกจากกันไม่ได้ ตราบใดที่ยังไม่ใช่อริยบุคคลขั้น "พระอคานามี" จิตก็ยังติดข้องอยูกับ กิเลส ตัณหา และอุปาทานขันธ์ ๕ ยังติดอยู่ใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสและความนึกคิดต่าง ๆ ไม่จบสิ้น
ความสุขทางกาย การมีสุขภาพดี มีร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคดี ไม่เจ็บไม่ป่วยบ่อย ถือว่าเป็น "ลาภอันประเสริฐ" การที่จะมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีนั้น ก็จะต้องมีการบริหารร่างกายอย่างถูกต้องตามหลักอนามัยหรือที่เรียกกันว่า "สุขบัญญัติ ๑๐ ประการ " ซึ่งทุกคนก็คงจะทราบดี เพราะได้เรียนและท่องกันจนจำได้ขึ้นใจ ตั้งแต่เรียนชั้น ป.๑ แล้ว ถ้าเรานำมาปฏิบัติตามที่เราจำได้นั่นแหละ ต้องปฏิบัติให้ได้อย่างสม่ำเสมอด้วยจึงจะเห็นผล การที่จะทำอะไรให้สำเร็จได้ตามเป้าหมาย ก็จะต้องมี "ฉันทะ" คือความพอใจเต็มใจที่จะทำด้วย และตามด้วย "วิริยะ" คือความเพียรขยันที่จะทำจนกว่าจะประสบความสำเร็จ นอกจากนั้นคุณธรรมที่สำคัญซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญยังมีอีก ก็คือ "ขันติ" แปลว่า ความอดทน ๆ ต่ออุปสรรคที่มาขัดขวางในการทำงานต่าง ๆ "ขันติ ปะระมัง ตะโปตีติกขา" ขันติ คือความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลส
การศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับอาหารการกิน เพื่อเสริมประสิทธิภาพให้แก่ร่างกายและจิตใจด้วย เพราะว่าร่างกายแข็งแรงดี จิตใจก็พลอยเข้มแข็งเบิกบานร่าเริงไปด้วย ใจอยากทำอะไร กายก็ทำตามที่ใจปรารถนาได้ ถ้ากายเจ็บป่วยก็ไม่สามารถที่จะรับใช้ตามความต้องการของใจได้ ใจก็จะเกิดความขัดแย้ง (โทสะ) หรือความไม่พอใจ มีอารมณ์เศร้าหมอง การพัฒนาสุขภาพกายให้มีประสิทธิภาพสามารถต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ให้เบียดเบียนได้ง่าย เป็นการป้องกันไว้ก่อน ดีกว่าแก้ทีหลัง ก็จะเข้าทำนอง "วัวหายล้อมคอก" ถ้าเป็นเช่นนี้คงไม่ดีแน่
สมบูรณ์ด้วยการบริโภคผลไม้
ชาวยุโรปได้หันมาสนใจบริโภค "ผลไม้" กันเป็นส่วนใหญ่มากกว่าเมื่อก่อน เพราะว่าปัจจุบันนี้ ได้มีผลไม้นานาชนิดจากประเทศแถบอากาศร้อน ได้ส่งเข้าไปขายอย่างมากมาย โดยเฉพาะชาวอังกฤษได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บริโภค "ผลไม้"ตัวยง เนื่องจากว่า การขนส่งลำเรียงผลไม้สดในปัจจุบันนี้ สะดวกกว่าเมื่อสมัยโรมและกรีกโบราญมาก แต่ถึงกระนั้นในยุคนั้น ก็ยังมีการปลูกองุ่นและแอปเปิ้ลกันมากในพื้นที่ดินทั่วไป และยังมีการนำเมล็ดไม้ผลจากที่อื่นเข้ามาปลูกในยุโรป ในกาลต่อมาหลายชนิด จนถึงปัจจุบันนี้
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญวิจัยเกี่ยวกับโภชนาการ ได้วิจัยเกี่ยวกับการบริโภคผลไม้ ได้กล่าวว่า "ถ้าบุคคลใดรับประทานผลไม้สด วันละ ๒๕๐ กรัม สามารถป้องกันการเจ็บป่วยได้ เพื่อป้องกันโรคมะเร็งหรือโรคชนิดอื่น ๆ จำเป็นต้องจำกัดจำนวนหรือปริมาณการบริโภคด้วย จึงจะได้ผล" นายพาโรล ผู้เชี่ยวชาญของอเมริกาได้แนะนำว่า "รับประทานแอปเปิ้ล วันละ ๑ ผล, กล้วยวันละ ๑ ลูก, ดื่มน้ำผลไม้สดคั้นวันละ ๑ แก้ว, ผักสลัดสดและแครอทสด วันละหนึ่งจาน" รับรองว่าท่านจะไกลจากหมอ คือไม่เจ็บไม่ป่วยบ่อย ก็ไม่ต้องการใกล้หมอ