สวดมนต์เสริมพลังจิต

วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ศิลปะในการบริโภค

สุขภาพดีเพราะมีศิลปะในการบริโภค
บริโภคเพื่อยังชีพ มิใช่ยังชีพเพื่อบริโภค  อันร่างกายเรานี้ ดำรงอยู่ได้ด้วยปัจจัย ๔    อันได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ชีวิตจะขาดปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตดำรงอยู่ได้โดยไม่เป็นทุกข์มาก ถ้ารู้จักความพอเพียง ท่านหลวงพ่อพุทธทาสได้กล่าวถึงปัจจัยที่สำคัญมากอีกปัจจัยหนึ่ง คือ "ธรรมะ"  ชีวิตที่ไม่มีธรรมะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจนั้น ย่อมเป็นชีวิตที่ไร้ค่าและเสียชาติเกิด อยู่บนโลกเหมือนคนตาบอด ไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้แก่ตนเองได้ในยามเดือดร้อน ไม่สามารถแก้ปัญหาให้ตนเองได้ ปัจจัยสุดท้ายนี้สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ปรารถนาอยากจะมีความสุขในชาตินี้และชาติหน้า  การได้พบพระธรรม ถือว่าเป็นลาภอันประเสริญ  เปรียบเสมือนได้พบขุมทรัพย์มหาศาล อันเป็น "อริยทรัพย์" ที่สามารถนำติดตัวไปได้ทุกหนทุกแห่ง พระธรรมเป็นของสูง เป็นของผู้มีบุญบารมี ที่เคยได้สะสมมาแต่ชาติบปางก่อน  ชาตินี้จึงได้มีโอกาสได้ศึกษาและฟังธรรมต่อ จนกว่าจะสิ้นความสงสัย และจนกว่าจะสามารถละความเห็นผิดและความไม่รู้ (อวิชชา)ได้ 

ร่างกายประกอบขึ้นจากมหาภูตรูป ๔  ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ธาตุทั้งสี่นี้ ถ้าขาดความสมดุลย์กัน ก็จะมีผลกระทบต่อระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกด้วย เช่นถ้าร่างกายขาดสารอาหารประเภท แคลเซี่ยม ก็จะมีความผิดปกติ  เกี่ยวกับกระดูกอันเป็นโครงร่างสำคัญของร่างกาย หากขาดแคลเซี่ยมมากตั้งแต่ยังเยาววัย ร่างกายจะมีการพัฒนาและเจริญเติบโตช้า อาจเป็นโรคปวดตามข้อกระดูกหรือโรคไขข้อได้ด้วย และยังมีผลกระทบถึงสภาวะทางจิตด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องมีศิลปะในการบริโภคอาหารอย่างถูกต้อง

คำว่า "ศิลปะ" แปลว่า ความสามารถ หมายถึงมีความสามารถในการเลือกสรรหาอาหารที่มีประโยชน์ มีความสามารถในการปรุงอาหาร   การเก็บถนอมอาหาร ถูกหลักอนามัย  บริโภคแล้วให้คุณต่อร่างกาย ร่างกายนี้ไม่รู้อะไร เขาไม่อยากกินโน่นกินนี่ หรืออยากกินของแปลก ๆ รสเด็ดรสเลิศอะไรก็ตาม เขาไม่รู้อะไรทั้งสิ้น  ผู้ที่อยากสารพัดไม่ซ้ำเมนูแต่ละวัน ก็คือ "จิต" แต่ที่จริงแล้วจิตเป็นธรรมชาติที่ดีงาม เป็นนามธรรม เขารู้แจ้งอารมณ์เท่านั้นเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้   แต่มีนามธรรมอีกชนิดหนึ่ง ที่เกิดพร้อมกับจิตดับพร้อมกับจิต มีอารมณ์เดียวกับจิต และเขาจะปรุงแต่งจิตให้อยากโน่นอยากนี่ เป็นไปในทางกุศลและอกุศล ส่วนใหญ่ก็จะเป็นไปในทางอกุศล จิตสั่งกายให้กระทำ กายจะแข็งแรงมีภูมิต้านทานดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ที่จิตด้วย เรื่องศิลปะในการบริโภคอาหารนี้ ก็จะต้องมีความสามารถในการแยกแยะว่า อาหารประเภทใดมีสารอาหารอะไรบ้าง จำเป็นต่อร่างกายอย่างไรบ้าง และเป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภคด้วย "มัตตัญญุตา จะภัตตัสมิง"

คุณทราบมั้ย."ความเปรี้ยว" ของผลไม้  ป้องกันโรคมะเร็งไม่ให้เกิดได้
สารFlavonoide ที่อยู่ในแอปเปิ้ล หรือผลไม้อื่น ๆ ที่มีรสเปรี้ยว ต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งได้  นักวิจัยด้านโภชนาการชาวอเมริกัน ได้วิจัยเกี่ยวกับการบริโภคอาหารของคนในยุคสมัยใหม่และพบว่า  คนส่วนใหญ่บริโภคอาหารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย  บริโภคผักและผลไม้น้อยมาก ไม่ค่อยออกกำลังสม่ำเสมอ มีความเครียดมาก นอกจากนั้นยังติดบุหรี่หรือของมึนเมา, กินของมัน และเนื้อสัตว์ปริมาณมาก ปัจจุบันนี้ได้มีคนเป็นโรคทันสมัยกันมาก คือ โรคเครียด โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจวาย  โรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนของโลหิต

จากการวิจัยของนักวิจัยด้านโภชนาการของประเทศอังกฤษ ได้ทดลองกับเด็กจำนวน ๒,๕๐๐ คน สรุปผลดังนี้ เด็กที่ไม่ชอบกินผลไม้ จะมีปอดที่มีสมรรถภาพในการทำงานต่ำกว่า เด็กที่ชอบกินผลไม้วันละสองเวลา ต่างกัน ๔ เปอร์เซ็นต์

คุณทราบมั้ยว่า "สับปะรด" มีวิตามินและแร่ธาตุสารอาหาร ๑๖ ชนิด   สับปะรดเป็น "ราชินีแห่งผลไม้ของอเมริกาใต้" ใช้ลดน้ำหนัก และยังใช้แก้โรคท้องผูกได้ ดื่มน้ำสัปปะรดคั้นกันท้องผูกได้  คนที่มีปัญหาเรื่องผิวพรรณ  อ่อนเพลียและชอบเป็นหวัดบ่อย ๆ  สาเหตุเพราะขาด "วิตามินเอ" ควรรับประทานผลไม้หรือผักที่มีสีเหลืองเช่น Aprikosen  คุณทราบมั้ยว่า "กล้วย" ทำให้อารมณ์ดี  กล้วยมีแร่ธาตุและสารอาหาร ๑๘ ชนิด กล้วยได้รับฉายานามว่า "ยาโดบ" ความเชื่อผิด ๆ ที่ว่ารับประทานกล้วยมากทำให้อ้วน



กล้วยหนึ่งใบมีแคลอรี่เพียงประมาณ ๔๐ เปอร์เซ็นต์ กล้วยใช้ลดน้ำหนักได้เพราะในกล้วยมีแร่ธาตุสารอาหารมาก และกล้วยเป็นผลไม้ที่ทำให้มีความสุข เพราะมีสาร Serotonin "สารสุข" ก่อนนอนรับประทานกล้วยทำให้หลับสบายได้

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ทำอย่างไรจึงจะมีความสุข

ใคร ๆ ก็ต้องการที่จะมีแต่ความสุข ทั้ง ๆ ที่ก็ทราบดีว่า ความสุขนั้นก็ไม่เที่ยง เพราะเป็น นามธรรม และเป็น ธรรมะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "สัพเพธัมมา" แปลว่า  ทุกสิ่งเป็นธรรมะ "สัพเพธัมมาอนัตตา" ธรรมทั้งหลายเป็นสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยเพื่อให้จิตรู้ แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว มีจิตดวงใหม่เกิดขึ้น รับอารมณ์สืบต่อแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว จนดูเหมือนกับว่ายังไม่ดับ เป็นเพียงสภาวะธรรมไม่ใช่ตัวเรา สัตว์ บุคคลใด ๆ ทั้งสิ้น ผู้ใดมีความเห็นตรงตามความเป็นจริง (สัมมาทิฏฐิ) เช่นนี้ ย่อมละคลายความยึดถือว่าเป็นตัวเราได้ และย่อมจะมีความสุข จากการละคลาย การยึดมั่นถือมั่นในสภาวะธรรมต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้

ความสุขมี ๒ ประเภท คือ ความสุขกาย (เวทนาทางกาย) และความสุขใจ (โสมนัส)    ใจหรือจิตนี้ยังต้องพึ่งพาอาศัยกายในการทำกิจต่าง ๆ  เช่นตาเห็นรูป เพราะจิตอาศัยจักขุปสาทรูปเป็นที่เกิด จึงทำให้เห็น(จิตเห็นหรือจักขุวิญญาณ) เกิด ใจอาศัยกายเพื่อสร้างกรรมใหม่ และเสวยวิบาก (ผลของกรรม) กรรมเก่าและวิบากกรรมใหม่ด้วย  กายและใจหรือจิตนี้ยังแยกออกจากกันไม่ได้  ตราบใดที่ยังไม่ใช่อริยบุคคลขั้น "พระอคานามี" จิตก็ยังติดข้องอยูกับ กิเลส ตัณหา และอุปาทานขันธ์ ๕ ยังติดอยู่ใน รูป  เสียง  กลิ่น รส  สัมผัสและความนึกคิดต่าง ๆ ไม่จบสิ้น

ความสุขทางกาย การมีสุขภาพดี มีร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคดี ไม่เจ็บไม่ป่วยบ่อย ถือว่าเป็น "ลาภอันประเสริฐ"  การที่จะมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีนั้น ก็จะต้องมีการบริหารร่างกายอย่างถูกต้องตามหลักอนามัยหรือที่เรียกกันว่า "สุขบัญญัติ ๑๐ ประการ " ซึ่งทุกคนก็คงจะทราบดี เพราะได้เรียนและท่องกันจนจำได้ขึ้นใจ ตั้งแต่เรียนชั้น ป.๑ แล้ว ถ้าเรานำมาปฏิบัติตามที่เราจำได้นั่นแหละ   ต้องปฏิบัติให้ได้อย่างสม่ำเสมอด้วยจึงจะเห็นผล  การที่จะทำอะไรให้สำเร็จได้ตามเป้าหมาย ก็จะต้องมี "ฉันทะ" คือความพอใจเต็มใจที่จะทำด้วย และตามด้วย "วิริยะ" คือความเพียรขยันที่จะทำจนกว่าจะประสบความสำเร็จ นอกจากนั้นคุณธรรมที่สำคัญซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญยังมีอีก ก็คือ "ขันติ" แปลว่า ความอดทน ๆ ต่ออุปสรรคที่มาขัดขวางในการทำงานต่าง ๆ  "ขันติ ปะระมัง ตะโปตีติกขา" ขันติ คือความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลส

การศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับอาหารการกิน เพื่อเสริมประสิทธิภาพให้แก่ร่างกายและจิตใจด้วย เพราะว่าร่างกายแข็งแรงดี  จิตใจก็พลอยเข้มแข็งเบิกบานร่าเริงไปด้วย ใจอยากทำอะไร กายก็ทำตามที่ใจปรารถนาได้  ถ้ากายเจ็บป่วยก็ไม่สามารถที่จะรับใช้ตามความต้องการของใจได้  ใจก็จะเกิดความขัดแย้ง (โทสะ) หรือความไม่พอใจ มีอารมณ์เศร้าหมอง  การพัฒนาสุขภาพกายให้มีประสิทธิภาพสามารถต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ให้เบียดเบียนได้ง่าย เป็นการป้องกันไว้ก่อน ดีกว่าแก้ทีหลัง ก็จะเข้าทำนอง "วัวหายล้อมคอก" ถ้าเป็นเช่นนี้คงไม่ดีแน่

สมบูรณ์ด้วยการบริโภคผลไม้

ชาวยุโรปได้หันมาสนใจบริโภค "ผลไม้" กันเป็นส่วนใหญ่มากกว่าเมื่อก่อน เพราะว่าปัจจุบันนี้ ได้มีผลไม้นานาชนิดจากประเทศแถบอากาศร้อน   ได้ส่งเข้าไปขายอย่างมากมาย  โดยเฉพาะชาวอังกฤษได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บริโภค "ผลไม้"ตัวยง เนื่องจากว่า การขนส่งลำเรียงผลไม้สดในปัจจุบันนี้  สะดวกกว่าเมื่อสมัยโรมและกรีกโบราญมาก แต่ถึงกระนั้นในยุคนั้น ก็ยังมีการปลูกองุ่นและแอปเปิ้ลกันมากในพื้นที่ดินทั่วไป  และยังมีการนำเมล็ดไม้ผลจากที่อื่นเข้ามาปลูกในยุโรป ในกาลต่อมาหลายชนิด จนถึงปัจจุบันนี้ 

กลุ่มผู้เชี่ยวชาญวิจัยเกี่ยวกับโภชนาการ ได้วิจัยเกี่ยวกับการบริโภคผลไม้ ได้กล่าวว่า "ถ้าบุคคลใดรับประทานผลไม้สด วันละ ๒๕๐ กรัม สามารถป้องกันการเจ็บป่วยได้ เพื่อป้องกันโรคมะเร็งหรือโรคชนิดอื่น ๆ จำเป็นต้องจำกัดจำนวนหรือปริมาณการบริโภคด้วย จึงจะได้ผล"  นายพาโรล ผู้เชี่ยวชาญของอเมริกาได้แนะนำว่า "รับประทานแอปเปิ้ล วันละ ๑ ผล, กล้วยวันละ ๑ ลูก, ดื่มน้ำผลไม้สดคั้นวันละ ๑ แก้ว, ผักสลัดสดและแครอทสด วันละหนึ่งจาน"  รับรองว่าท่านจะไกลจากหมอ คือไม่เจ็บไม่ป่วยบ่อย ก็ไม่ต้องการใกล้หมอ