สวดมนต์เสริมพลังจิต
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
Paprika (พริกใหญ่) คลายเครียด, แก้ปวดกล้ามเนื้อและปวดตามข้อ
เมื่อศตวรรษที่ ๑๖ ชาวสเปญได้เป็นผู้นำ Paprika จากประเทศในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ เข้ามาปลูกในประเทศสเปญ...ปัจจุบันนี้สามารถปลูกได้ทุกทวีปในพื้นที่ที่มีแดดอบอุ่น Paprika เป็นพืชที่ชอบแสงอาทิตย์มาก เป็นพริกชนิดหนึ่งที่มีรสไม่เผ็ดเหมือนพริกอื่น ๆ โดยเฉพาะบางชนิดมีรสหวาน Paprika ขึ้นวางกับพื้นดินไม่ห้อยติดต้นเหมือนพริกชนิดอื่น ๆ เป็นที่นิยมมากในตลาดยุโรป...ปลูกมากที่สุดในประเทศอิตาลี, ฮังการี, ฝรั่งเศสตอนใต้, รูเมเนีย, อิสราเอล, กรีก, แซเบียน, เยอรมัน....
ประเทศเยอรมันเริ่มรู้จัก Papritka เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยนั้นมีชนิดพริกสีเหลืองปนสีเขียวและพริกสีแดงปนสีเขียว ยังไม่มีพริกสีเหลืองและสีแดงล้วน ๆ มีขายทั่วไปตามซุปเปอร์มาร์คตลอดปี......
Paprika หรือพริกใหญ่ มีประโยชน์มาก....พริกใหญ่น้ำหนัก ๑๐๐ กรัม มีวิตามินซีถึง ๔๐๐ มิลลิกรัม เป็นพืชผักที่มีวิตามินซีมากที่สุด เรียกว่า "Vitaminbombe" โดยเฉพาะพริกใหญ่สีเขียวที่แก่เต็มที่แล้ว มีวิตามินซีมากที่สุด ส่วนสีแดงและสีเหลืองมีวิตามินน้อยกว่า
.....ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๓๒ Professor Albert Szent Gyorgyi ชาวฮังการี ทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัย Szegediner ประเทศฮังการี ได้เป็นผู้ค้นพบวิตามินซีเป็นครั้งแรก....เขาเป็นนักศึกษาค้นคว้าด้านพืชผักแห่งชาติ ได้ค้นพบว่า Paprika สีแดงมีวิตามินซีมากที่สุด......ในปี ค.ศ. ๑๙๓๗ เขาได้รับรางวัล "Nobel" เพราะผลงานนี้ และก่อนหน้านั้นเขาได้ให้สัญลักษณ์ของธาตุสารอาหารใน Paprika ว่า "Vitamin P"
ต่อมาในปัจจุบันนี้ คนรู้จักในนามของ "Bio flavonoide + Rutin" ช่วยละลายสิ่งที่ตกค้างในเส้นเลือด...ทำให้ Kapillaren (เส้นเลือดฝอย) บางลงและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ....Paprika สีแดง ๑๐๐ กรัม มีวิตามินซี ๓๐๐ มิลลิกรัม, Paprika สีเขียว ๑๐๐ กรัม มีวิตามินซีเพียง ๑๔๐ มิลลิกรัม....และยังมีชนิดที่มีลักษณะเหมือนมะเขือเทศเนื้อ เรียกว่า "Tomaten Paprika" มีรสเผ็ดปนหวานนิด ๆ มีวิตามินซีมากเช่นกัน .....ส่วนที่ทำให้มีรสเผ็ดคือ เมล็ดและผิวของเปลือกด้านนอกของมัน ชนิดมีรสเผ็ดนิด ๆ เป็นที่นิยมรับประทานกันมาก เพราะช่วยให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ทำให้เส้นเลือดเปิดและเลือดเดินได้สะดวก นอกจากนั้นยังช่วยในการปรับระดับ ความดันของโลหิตอีกด้วย....บางชนิดเผ็ดมากจะช่วยขับสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย ทำให้น้ำตาไหล น้ำมูกไหล....Paprika สีแดงทำให้เจริญอาหารด้วย เพราะความเผ็ดของมัน ทำให้ร่างกายต้องการน้ำมากกว่าปรกติ จึงทำให้ร่างกายมีน้ำชุ่มชื่น มีน้ำไปหล่อเลี้ยงเยื้อผิวอ่อนภายใน และช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้นด้วย
Paprika สีแดงมี Beta-Karotine มากกว่าชนิดอื่น และมีคุณสมบัติป้องกันโรคมะเร็งได้ นอกจากนั้นยังรักษาโรคเยื้อผิวหนังอักเสบ เช่น แผลในปาก.....Beta-Karotine ผลิตวิตามินเอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฮอร์โมนเพศ และทำให้มีสมรรถภาพในด้านเพศสัมพันธ์....ใน Paprika มี Selen โดยเฉพาะ Coenzym Q10 ซึ่งปัจจุบันทางเภสัชกรรมใช้ทำเป็นลักษณะแคปซูลจำหน่ายราคาแพงมาก.....Paprika ยังช่วยคลายเครียด, แก้ปวดกล้ามเนื้อและปวดตามข้อต่าง ๆ ได้ด้วย
วิธีบริโภค Paprika สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร จะมีความรู้สึกไวต่อปฏิกิริยาเกี่ยวกับพืชผักบางชนิดที่มีเปลือก ดังนั้นก่อนรับประทานควรปลอกเปลือกแล้วชิมดูก่อน.....วิธีปลอกเปลือกที่ง่ายมากคือ ผ่า Paprika ออกเป็น ๔ ส่วน วางคว่ำลงบนถาด แล้วนำไปอบในเตาอบ ใช้เวลาพอประมาณ จนบางส่วนดำนิดหน่อย (เปลือก) และพองขึ้นมา จากนั้นจึงนำไปแช่น้ำเย็นสักครู่ แล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้งจึงปลอกเปลือกออกได้.....Paprika สดเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานถึง ๒ สัปดาห์ แต่ต้องไม่เย็นเกิน เพราะว่าความเย็นจัด จะทำให้สูญเสียคุณภาพได้
แปลจากหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพและการบริโภคอาหารเพื่อสุขาภาพ เขียนโดย Claudia Tebel-Nagy
ประเทศเยอรมันเริ่มรู้จัก Papritka เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยนั้นมีชนิดพริกสีเหลืองปนสีเขียวและพริกสีแดงปนสีเขียว ยังไม่มีพริกสีเหลืองและสีแดงล้วน ๆ มีขายทั่วไปตามซุปเปอร์มาร์คตลอดปี......
Paprika หรือพริกใหญ่ มีประโยชน์มาก....พริกใหญ่น้ำหนัก ๑๐๐ กรัม มีวิตามินซีถึง ๔๐๐ มิลลิกรัม เป็นพืชผักที่มีวิตามินซีมากที่สุด เรียกว่า "Vitaminbombe" โดยเฉพาะพริกใหญ่สีเขียวที่แก่เต็มที่แล้ว มีวิตามินซีมากที่สุด ส่วนสีแดงและสีเหลืองมีวิตามินน้อยกว่า
.....ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๓๒ Professor Albert Szent Gyorgyi ชาวฮังการี ทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัย Szegediner ประเทศฮังการี ได้เป็นผู้ค้นพบวิตามินซีเป็นครั้งแรก....เขาเป็นนักศึกษาค้นคว้าด้านพืชผักแห่งชาติ ได้ค้นพบว่า Paprika สีแดงมีวิตามินซีมากที่สุด......ในปี ค.ศ. ๑๙๓๗ เขาได้รับรางวัล "Nobel" เพราะผลงานนี้ และก่อนหน้านั้นเขาได้ให้สัญลักษณ์ของธาตุสารอาหารใน Paprika ว่า "Vitamin P"
ต่อมาในปัจจุบันนี้ คนรู้จักในนามของ "Bio flavonoide + Rutin" ช่วยละลายสิ่งที่ตกค้างในเส้นเลือด...ทำให้ Kapillaren (เส้นเลือดฝอย) บางลงและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ....Paprika สีแดง ๑๐๐ กรัม มีวิตามินซี ๓๐๐ มิลลิกรัม, Paprika สีเขียว ๑๐๐ กรัม มีวิตามินซีเพียง ๑๔๐ มิลลิกรัม....และยังมีชนิดที่มีลักษณะเหมือนมะเขือเทศเนื้อ เรียกว่า "Tomaten Paprika" มีรสเผ็ดปนหวานนิด ๆ มีวิตามินซีมากเช่นกัน .....ส่วนที่ทำให้มีรสเผ็ดคือ เมล็ดและผิวของเปลือกด้านนอกของมัน ชนิดมีรสเผ็ดนิด ๆ เป็นที่นิยมรับประทานกันมาก เพราะช่วยให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ทำให้เส้นเลือดเปิดและเลือดเดินได้สะดวก นอกจากนั้นยังช่วยในการปรับระดับ ความดันของโลหิตอีกด้วย....บางชนิดเผ็ดมากจะช่วยขับสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย ทำให้น้ำตาไหล น้ำมูกไหล....Paprika สีแดงทำให้เจริญอาหารด้วย เพราะความเผ็ดของมัน ทำให้ร่างกายต้องการน้ำมากกว่าปรกติ จึงทำให้ร่างกายมีน้ำชุ่มชื่น มีน้ำไปหล่อเลี้ยงเยื้อผิวอ่อนภายใน และช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้นด้วย
Paprika สีแดงมี Beta-Karotine มากกว่าชนิดอื่น และมีคุณสมบัติป้องกันโรคมะเร็งได้ นอกจากนั้นยังรักษาโรคเยื้อผิวหนังอักเสบ เช่น แผลในปาก.....Beta-Karotine ผลิตวิตามินเอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฮอร์โมนเพศ และทำให้มีสมรรถภาพในด้านเพศสัมพันธ์....ใน Paprika มี Selen โดยเฉพาะ Coenzym Q10 ซึ่งปัจจุบันทางเภสัชกรรมใช้ทำเป็นลักษณะแคปซูลจำหน่ายราคาแพงมาก.....Paprika ยังช่วยคลายเครียด, แก้ปวดกล้ามเนื้อและปวดตามข้อต่าง ๆ ได้ด้วย
วิธีบริโภค Paprika สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร จะมีความรู้สึกไวต่อปฏิกิริยาเกี่ยวกับพืชผักบางชนิดที่มีเปลือก ดังนั้นก่อนรับประทานควรปลอกเปลือกแล้วชิมดูก่อน.....วิธีปลอกเปลือกที่ง่ายมากคือ ผ่า Paprika ออกเป็น ๔ ส่วน วางคว่ำลงบนถาด แล้วนำไปอบในเตาอบ ใช้เวลาพอประมาณ จนบางส่วนดำนิดหน่อย (เปลือก) และพองขึ้นมา จากนั้นจึงนำไปแช่น้ำเย็นสักครู่ แล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้งจึงปลอกเปลือกออกได้.....Paprika สดเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานถึง ๒ สัปดาห์ แต่ต้องไม่เย็นเกิน เพราะว่าความเย็นจัด จะทำให้สูญเสียคุณภาพได้
แปลจากหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพและการบริโภคอาหารเพื่อสุขาภาพ เขียนโดย Claudia Tebel-Nagy
วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ฝักกระเจี๊ยบ (Okra)
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน....สบายดีมั้ยคะ หวังว่าทุกท่านคงมีสุขภาพแข็งแรงดีนะคะ....ตอนนี้ที่สวิตเซอร์แลนด์อากาศเริ่มหนาวเย็นลงในช่วงเช้า ๆ เพราะว่าเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้วจ๊ะ วิวทิวทัศน์ธรรมชาติในฤดูนี้ ก็สวยงามน่าชมไม่แพ้ฤดูร้อน สวยกันคนละแบบ.....ท่านที่อาศัยอยู่ในประเทศอื่น ๆ ในแถบยุโรปก็คงจะพบกับอากาศไม่แตกต่างกันมากนัก คือตอนนี้จะพบแต่ความหนาวมากขึ้น......ส่วนท่านที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ก็คงจะประสบกับปัญหาภัยพิบัติอยู่เป็นบางแห่ง อย่างไรก็ตาม ไม่่ว่าเราจะอาศัยอยู่ที่ใด.....อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัยที่ได้กระทำไว้แล้ว เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมแล้วที่จะส่งผล ก็จะต้องปรากฏให้เราได้เสวยอย่างแน่นอน ไม่มีใครบังคับบัญชาให้เป็นไปดังใจปรารถนาได้
ชีวิตแต่ละวัน ๆ เต็มไปด้วยเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาทางทาง หู จมูก ลิ้น กายและใจ เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์บ้าง ความสุขบ้างตามกำลังของกิเลส..... ดังนั้นถ้าท่านต้องการ ที่จะมีความสุขสมบูรณ์จริง ๆ ก็ไม่ควรลืมที่จะให้อาหารแก่ "จิตใจ" ของท่านด้วย คือมีการให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรมและอบรมเจริญสมาธิ ประพฤติปฏิบัติจนเป็นอุปนิสัย เพื่อเป็นปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดกุศลจิตอยู่บ่อย ๆ แล้วท่านก็จะพบกับความสุขใจมากขึ้น ๆ........สำหรับเรื่องเกี่ยวกับกายนั้น ก็ควรดูแลบริหารร่างกายออกกำลังกลางแจ้งอย่างสม่ำเสมอ บริโภคอาหารที่มีประโยชน์ถูกหลักอนามัย และควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย ชีวิตของท่านก็จะเป็นชีวิตที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น....วันนี้ฉันก็มีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพที่หาได้ไม่ยาก และฉันคิดว่าทุกท่านก็คงจะรู้จักดีด้วย แต่อาจจะยังไม่รู้ประโยชน์มากนัก ก็ขอเชิญทุกท่านศึกษาเพิ่มเติมได้เลยค่ะ
ฝักกระเจี็ยบ (Okra) เป็นที่ขึ้นชื่อของชาวตุรกีและชาวกรีก เป็นผักใช้ประกอบอาหาร ทำให้อาหารมีรสชาดอร่อยพิเศษ นิยมรับประทานรวมกับถั่่วชนิดต่าง ๆ ชาวอินเดียนิยมนำมาทอดน้ำมันให้กรอบ รับประทานแก้มอาหารที่มีรสเผ็ด ชาวไทยนิยมฝักกระเจี๊ยบต้มหรือนิ่งจิ้มน้ำพริกเผ็ด ๆ ......ฝักกระเจี๊ยบมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "นิ้วมือนาง" ซึ่งนิยมเรียกกันมากในประเทศเอธิโอเปีย ที่นั่นคนรู้จักฝักกระเจี๊ยบเหมือนกับรู้จักพริกยาว....ฝักกระเจี๊ยบมีลักษณะเหมือนนิ้วมืออ้วน ๆ มีหลายเหลี่ยม เป็นผักที่มีมานานร่วม ๔๐๐๐ ปีมาแล้ว....ปัจจุบันนี้ต้นกระเจี๊ยบสามารถปลูกได้ทั่วไป ไม่เฉพาะในประเทศเอธิโอเปียเท่านั้น....กระเจี๊ยบเป็นผักที่มีขายตามตลาดซุปเปอร์มาร์คทั่วไปและมีตลอดปี.....แหล่งกำเนิดต้นกระเจี๊ยบคือ "ประเทศเอธิโอเปีย"
ประโยชน์ของกระเจี๊ยบ (Okra) องค์การอนามัยโลกได้ลงมติยอมรับว่า "กระเจี๊ยบ" เป็นพืชที่จัดอยู่ในจำพวก "ผัก" ที่สามารถป้องกันการเกิดโรค "มะเร็ง" ได้ด้วย....ลักษณะของฝักกระเจี๊ยบเหมือนนิ้วมือ ฝักสีเขียว มีความยาวอย่างมากประมาณ ๑๕ เซ็นติเมตร เมล็ดข้างในสีขาวกลมเล็ก ๆ เหมือนแคปซูลบรรจุแคลเซี่ยมและวิตามินซีเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีความสำคัญต่อร่างกายมนุษย์อย่างมาก โดยเฉพาะเพศชายถ้ามีแคลเซี่ยมไม่พอเพียงต่อร่างกาย จะทำให้เป็นคนมีอารมณ์ร้อน โกรธง่ายและเป็นโรคประสาทอ่อนแอ ซึ่งอาจจะเนื่องมาจากขาดธาตุแคลเซี่ยม....กระเจี๊ยมมีวิตามิน A, วิตามิน B รวม, Aminosäuren และคาร์โบไฮเดรท ซึ่งทำให้อิ่มนาน....ในกระเจี๊ยบมี "ธาตุเหล็ก" เป็นจำนวนมากสำหรับสร้างเม็ดเลือด
"ผัดผักรวม Okra"
- ฝักกระเจี๊ยบทำสลัดรวมกับผักชนิดอื่่นได้ แต่ต้องทำฝักกระเจี๊ยบให้สุกก่อน เพราะว่าฝักกระเจี๊ยบสด ๆ มียางมาก....ยางของกระเจี๊ยบหรือ Okra นี้ ทางวงแพทย์แผนโบราณใช้ทำยารักษา "โรคเยื้อกระเพาะอาหารอักเสบ"
- ฝักกระเจี๊ยบเหมาะสำหรับประกอบอาหารเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัวอ่อนทอด, เนื้อไก่และปลา ปรุงใส่กระเทียม, ผักชี, พริกไทย, พริกสดและเครื่องแกงเผ็ด ปรุงรสเด็ดตามใจชอบ
สำหรับเรื่องกระเจี๊ยบหรือ Okra นี้....ฉันหวังอย่างยิ่งว่า คงจะเป็นประโยชน์พอสมควรแก่ท่านผู้อ่านที่สนใจเรื่องสุขภาพเพื่อชีวิตให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น.....และขอให้มีความสุขกายและสุขใจทุกท่านเทอญ
ชีวิตแต่ละวัน ๆ เต็มไปด้วยเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาทางทาง หู จมูก ลิ้น กายและใจ เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์บ้าง ความสุขบ้างตามกำลังของกิเลส..... ดังนั้นถ้าท่านต้องการ ที่จะมีความสุขสมบูรณ์จริง ๆ ก็ไม่ควรลืมที่จะให้อาหารแก่ "จิตใจ" ของท่านด้วย คือมีการให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรมและอบรมเจริญสมาธิ ประพฤติปฏิบัติจนเป็นอุปนิสัย เพื่อเป็นปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดกุศลจิตอยู่บ่อย ๆ แล้วท่านก็จะพบกับความสุขใจมากขึ้น ๆ........สำหรับเรื่องเกี่ยวกับกายนั้น ก็ควรดูแลบริหารร่างกายออกกำลังกลางแจ้งอย่างสม่ำเสมอ บริโภคอาหารที่มีประโยชน์ถูกหลักอนามัย และควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย ชีวิตของท่านก็จะเป็นชีวิตที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น....วันนี้ฉันก็มีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพที่หาได้ไม่ยาก และฉันคิดว่าทุกท่านก็คงจะรู้จักดีด้วย แต่อาจจะยังไม่รู้ประโยชน์มากนัก ก็ขอเชิญทุกท่านศึกษาเพิ่มเติมได้เลยค่ะ
ฝักกระเจี็ยบ (Okra) เป็นที่ขึ้นชื่อของชาวตุรกีและชาวกรีก เป็นผักใช้ประกอบอาหาร ทำให้อาหารมีรสชาดอร่อยพิเศษ นิยมรับประทานรวมกับถั่่วชนิดต่าง ๆ ชาวอินเดียนิยมนำมาทอดน้ำมันให้กรอบ รับประทานแก้มอาหารที่มีรสเผ็ด ชาวไทยนิยมฝักกระเจี๊ยบต้มหรือนิ่งจิ้มน้ำพริกเผ็ด ๆ ......ฝักกระเจี๊ยบมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "นิ้วมือนาง" ซึ่งนิยมเรียกกันมากในประเทศเอธิโอเปีย ที่นั่นคนรู้จักฝักกระเจี๊ยบเหมือนกับรู้จักพริกยาว....ฝักกระเจี๊ยบมีลักษณะเหมือนนิ้วมืออ้วน ๆ มีหลายเหลี่ยม เป็นผักที่มีมานานร่วม ๔๐๐๐ ปีมาแล้ว....ปัจจุบันนี้ต้นกระเจี๊ยบสามารถปลูกได้ทั่วไป ไม่เฉพาะในประเทศเอธิโอเปียเท่านั้น....กระเจี๊ยบเป็นผักที่มีขายตามตลาดซุปเปอร์มาร์คทั่วไปและมีตลอดปี.....แหล่งกำเนิดต้นกระเจี๊ยบคือ "ประเทศเอธิโอเปีย"
ประโยชน์ของกระเจี๊ยบ (Okra) องค์การอนามัยโลกได้ลงมติยอมรับว่า "กระเจี๊ยบ" เป็นพืชที่จัดอยู่ในจำพวก "ผัก" ที่สามารถป้องกันการเกิดโรค "มะเร็ง" ได้ด้วย....ลักษณะของฝักกระเจี๊ยบเหมือนนิ้วมือ ฝักสีเขียว มีความยาวอย่างมากประมาณ ๑๕ เซ็นติเมตร เมล็ดข้างในสีขาวกลมเล็ก ๆ เหมือนแคปซูลบรรจุแคลเซี่ยมและวิตามินซีเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีความสำคัญต่อร่างกายมนุษย์อย่างมาก โดยเฉพาะเพศชายถ้ามีแคลเซี่ยมไม่พอเพียงต่อร่างกาย จะทำให้เป็นคนมีอารมณ์ร้อน โกรธง่ายและเป็นโรคประสาทอ่อนแอ ซึ่งอาจจะเนื่องมาจากขาดธาตุแคลเซี่ยม....กระเจี๊ยมมีวิตามิน A, วิตามิน B รวม, Aminosäuren และคาร์โบไฮเดรท ซึ่งทำให้อิ่มนาน....ในกระเจี๊ยบมี "ธาตุเหล็ก" เป็นจำนวนมากสำหรับสร้างเม็ดเลือด
แนะนำวิธีการบริโภคฝักกระเจี๊ยบ
- ฝักกระเจี๊ยบหั่นเป็นชิ้นสั้น ๆ ทอดด้วยน้ำมัน Oliven แล้วนำมาผัดใส่หัวหอมใหญ่, มะเขือเทศ, พริกใหญ่และผักอื่น ๆ เรียกว่า"ผัดผักรวม Okra"
- ฝักกระเจี๊ยบทำสลัดรวมกับผักชนิดอื่่นได้ แต่ต้องทำฝักกระเจี๊ยบให้สุกก่อน เพราะว่าฝักกระเจี๊ยบสด ๆ มียางมาก....ยางของกระเจี๊ยบหรือ Okra นี้ ทางวงแพทย์แผนโบราณใช้ทำยารักษา "โรคเยื้อกระเพาะอาหารอักเสบ"
- ฝักกระเจี๊ยบเหมาะสำหรับประกอบอาหารเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัวอ่อนทอด, เนื้อไก่และปลา ปรุงใส่กระเทียม, ผักชี, พริกไทย, พริกสดและเครื่องแกงเผ็ด ปรุงรสเด็ดตามใจชอบ
สำหรับเรื่องกระเจี๊ยบหรือ Okra นี้....ฉันหวังอย่างยิ่งว่า คงจะเป็นประโยชน์พอสมควรแก่ท่านผู้อ่านที่สนใจเรื่องสุขภาพเพื่อชีวิตให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น.....และขอให้มีความสุขกายและสุขใจทุกท่านเทอญ
วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554
แคร์รอทป้องกันโรคและลดไขมันในเส้นเลือดได้
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน.....หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ...... ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงมีฝนตกอยู่บ่อย ๆ ทั่วโลก ที่สวิตเซอร์แลนด์ก็ฝนตกหนักติดต่อกันสองวันแล้ว อากาศเริ่มหนาวนิด ๆ ถ้าไม่ระวังสุภาพก็จะเจ็บไข้ไม่สบายได้ ทางที่ดีที่สุดก็ควรสนใจเรื่องการบริโภคอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นการสร้างเหตุที่ดี แล้วผลก็จะดีเหมือนกับเหตุนั่นเอง
วันนี้ฉันนำเรื่องเกี่ยวกับผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพชนิดหนึ่ง ซึ่งบางท่านอาจจะยังไม่ค่อยทราบประโยชน์และคุณค่าของผักชนิดนี้มากนัก.......ผักชนิดที่จะกล่าวถึงนี้ก็คือ "แคร์รอท" (carrot) จัดอยู่ในจำพวกผัก ซึ่งมีมานานตั้งแต่สมัยโรมัน เขาใช้เป็นยารักษาโรคได้.....ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่บริโภคแคร์รอทมากกว่าประเทศอื่น.....เริ่มแรกจริง ๆ แคร์รอทมีสีดำและสีม่วง.....จนถึงศตวรรษที่ ๑๗ ชาวฮอนแลนด์ได้ทำการทดลองปลูกแคร์รอทสีส้ม และชาวอเมริกันก็ได้ทดลองปลูกแคร์รอทสีขาว จึงทำให้ภายหลังต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ มีแคร์รอทหลายสี
แคร์รอทเป็นผักที่ย่อยง่าย มีประโยชน์มากสำหรับเด็กอ่อน นำมาบดต้มใส่นมให้เด็กรับประทาน เด็กจะชอบรับประทานมากเพราะว่ามีรสหวาน.....ผู้ใหญ่มักจะบอกเด็กว่า กินแคร์รอทแล้วแก้มจะสวย เด็กก็ชอบกิน แต่ก็เป็นความจริงเพราะในแคร์รอทมี แคโรทินอย (carotinoide) มากกว่าผักชนิดอื่น จึงได้ชื่อว่า
"แคร์รอท" ในแคร์รอทมี Alpha-carotin และ Lutine ซึ่งจะทำให้เนื้อเยื้อผิวหนังในลำไส้แข็งแรง เพราะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งสำคัญมากต่อร่างกายเพราะทำหน้าที่ "ป้องกันและกำจัดโรคมะเร็ง"
แคร์รอท(Carrot) ทำหน้าที่ขจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย สารพิษต่าง ๆ ......ทำลายเซลที่แก่เหี่ยวย่น....ป้องกันโรคมะเร็งต่าง ๆ ซึ่งทางการแพทย์ใช้รักษาโรคมะเร็งด้วยวิตามินเอ ด้วยปริมาณสูงมาก.....วิตามินเอใช้บำรุงเกี่ยวผิวหนังและสายตา เครื่องสำอางค์ที่มีส่วนผสมวิตามินเอจะราคาแพงมาก......วิตามินเอละลายไขมันในเส้นเลือด สร้างภูมิป้องกันโรคต่าง ๆ
ร่างกายจะรับวิตามินเอได้ ต่อเมื่อรับประทานของมัน เมื่อรับประทานสลัด ควรใส่น้ำมันในน้ำสลัดพอสมควร
เพราะในน้ำมันมีวิตามิน E ซึ่งสามารถทำให้ร่างกายรับวิตามิน A ไว้ได้.....ในแคร์รอทยังมีสารชนิดหนึ่งซึ่งช่วยในการเก็บธาตุเหล็กให้คงอยู่ได้ โดยไม่ถูกทำลายหมด....แคร์รอทมีประโยชน์มากสำหรับเด็กอ่อนและเด็กวัยกำลังเจริญเติบโต....นอกจากนั้นในแคร์รอทยังมี "วิตามิน K " เป็นเสมือนยาช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในลำไส้ เวลาบาดเจ็บเลือดออก วิตามินเคช่วยทำให้เลือดหยุดเร็ว.....แคร์รอทมีสารที่ช่วยทำลายเชื้อแบคทีเรียในลำไส้....Pektin มีมากในแคร์รอทซึ่งปรกติจะพบในแอปเปิ้ลมาก เพคทีนจะช่วยทำความสะอาดลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น....ลดไขมันในเส้นเลือดได้และยังขจัดสารอนุมูลอิสระด้วย
สำหรับเรื่องแคร์รอทนี้.....มีประโยชน์แก่ร่างกายของคนทุกวัย รับประทานสม่ำเสมอจะทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคภัยไขเจ็บได้ แต่ถ้ารับประทานมากเกินขนาดจะทำให้ผิวเหลืองเหมือนแคร์รอทได้ ฉะนั้นควรรับประทานแต่เพียงพอประมาณ.....ขอให้มีสุขภาพดีทุกท่านนะคะ
แปลจากตำราเกี่ยวกับอาหารและสุขภาพ โดย Claudia Tebel-Nagy
วันนี้ฉันนำเรื่องเกี่ยวกับผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพชนิดหนึ่ง ซึ่งบางท่านอาจจะยังไม่ค่อยทราบประโยชน์และคุณค่าของผักชนิดนี้มากนัก.......ผักชนิดที่จะกล่าวถึงนี้ก็คือ "แคร์รอท" (carrot) จัดอยู่ในจำพวกผัก ซึ่งมีมานานตั้งแต่สมัยโรมัน เขาใช้เป็นยารักษาโรคได้.....ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่บริโภคแคร์รอทมากกว่าประเทศอื่น.....เริ่มแรกจริง ๆ แคร์รอทมีสีดำและสีม่วง.....จนถึงศตวรรษที่ ๑๗ ชาวฮอนแลนด์ได้ทำการทดลองปลูกแคร์รอทสีส้ม และชาวอเมริกันก็ได้ทดลองปลูกแคร์รอทสีขาว จึงทำให้ภายหลังต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ มีแคร์รอทหลายสี
แคร์รอทเป็นผักที่ย่อยง่าย มีประโยชน์มากสำหรับเด็กอ่อน นำมาบดต้มใส่นมให้เด็กรับประทาน เด็กจะชอบรับประทานมากเพราะว่ามีรสหวาน.....ผู้ใหญ่มักจะบอกเด็กว่า กินแคร์รอทแล้วแก้มจะสวย เด็กก็ชอบกิน แต่ก็เป็นความจริงเพราะในแคร์รอทมี แคโรทินอย (carotinoide) มากกว่าผักชนิดอื่น จึงได้ชื่อว่า
"แคร์รอท" ในแคร์รอทมี Alpha-carotin และ Lutine ซึ่งจะทำให้เนื้อเยื้อผิวหนังในลำไส้แข็งแรง เพราะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งสำคัญมากต่อร่างกายเพราะทำหน้าที่ "ป้องกันและกำจัดโรคมะเร็ง"
แคร์รอท(Carrot) ทำหน้าที่ขจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย สารพิษต่าง ๆ ......ทำลายเซลที่แก่เหี่ยวย่น....ป้องกันโรคมะเร็งต่าง ๆ ซึ่งทางการแพทย์ใช้รักษาโรคมะเร็งด้วยวิตามินเอ ด้วยปริมาณสูงมาก.....วิตามินเอใช้บำรุงเกี่ยวผิวหนังและสายตา เครื่องสำอางค์ที่มีส่วนผสมวิตามินเอจะราคาแพงมาก......วิตามินเอละลายไขมันในเส้นเลือด สร้างภูมิป้องกันโรคต่าง ๆ
ร่างกายจะรับวิตามินเอได้ ต่อเมื่อรับประทานของมัน เมื่อรับประทานสลัด ควรใส่น้ำมันในน้ำสลัดพอสมควร
เพราะในน้ำมันมีวิตามิน E ซึ่งสามารถทำให้ร่างกายรับวิตามิน A ไว้ได้.....ในแคร์รอทยังมีสารชนิดหนึ่งซึ่งช่วยในการเก็บธาตุเหล็กให้คงอยู่ได้ โดยไม่ถูกทำลายหมด....แคร์รอทมีประโยชน์มากสำหรับเด็กอ่อนและเด็กวัยกำลังเจริญเติบโต....นอกจากนั้นในแคร์รอทยังมี "วิตามิน K " เป็นเสมือนยาช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในลำไส้ เวลาบาดเจ็บเลือดออก วิตามินเคช่วยทำให้เลือดหยุดเร็ว.....แคร์รอทมีสารที่ช่วยทำลายเชื้อแบคทีเรียในลำไส้....Pektin มีมากในแคร์รอทซึ่งปรกติจะพบในแอปเปิ้ลมาก เพคทีนจะช่วยทำความสะอาดลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น....ลดไขมันในเส้นเลือดได้และยังขจัดสารอนุมูลอิสระด้วย
สำหรับเรื่องแคร์รอทนี้.....มีประโยชน์แก่ร่างกายของคนทุกวัย รับประทานสม่ำเสมอจะทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคภัยไขเจ็บได้ แต่ถ้ารับประทานมากเกินขนาดจะทำให้ผิวเหลืองเหมือนแคร์รอทได้ ฉะนั้นควรรับประทานแต่เพียงพอประมาณ.....ขอให้มีสุขภาพดีทุกท่านนะคะ
แปลจากตำราเกี่ยวกับอาหารและสุขภาพ โดย Claudia Tebel-Nagy
วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554
มันฝรั่งป้องกันโรคมะเร็งได้
คุณทราบไหม...มันฝรั่งเป็นยาธรรมชาติชนิดหนึ่ง
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน....หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะคะ.....ถ้าท่านไม่สบายมีโรคภัยไข้เจ็บกำลังเบียดเบียนอยู่ ลองอ่านบทความต่อไปนี้นะคะ.....วันนี้ฉันนำเรื่องเกี่ยวกับ "มันฝรั่งป้องกันโรค" มาเขียน
เพราะเห็นว่า เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่สนใจ จะรักษาหรือบำรุงร่างกายให้แข็งแรง เพื่อสร้างภูมิป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ หรือผู้ที่เจ็บป่วยอยู่แล้วก็จะได้นำไปทดลองรักษาดูได้ค่ะ
"มันฝรั่ง" หรือเรียกอีกอย่างว่า "แอปเปิ้ลในดิน" เป็นอาหารหลักของชาวตะวันตกและประเทศทั่วโลก ตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกมาแล้ว.....เมื่อประมาณ ๖๐-๗๐ ปีมาแล้ว มีชนกลุ่มหนึ่งคลั่งไคล้เกี่ยวกับการลดน้ำหนักตัว ต้องการที่จะรักษารูปร่างให้สวยงาม ได้มีความเห็นว่า "มันฝรั่ง" ทำให้อ้วน....ในปัจจุบันนี้ได้มีกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการหลายประเทศ ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการบริโภคมันฝรั่ง จากจำนวนคนหลายกลุ่มและหลายประเทศ สรุปผลได้ว่า "มันฝรั่ง" มีแคลอรี่น้อยกว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวและข้าวถึง ๕ เท่าตัว....สำหรับมันฝรั่งที่ทำให้อ้วนนั้นแน่นอน.....ถ้าผู้ใดรับประทานมันฝรั่งทอด หรือรับประทาน Chip เป็นประจำทุกวัน รับรองว่าซิปกางเกงต้องแตกแน่ ๆ
มันฝรั่งมีคาร์โบไฮเดรทมาก เป็นอาหารจำพวกแป้ง ซึ่งทำให้อิ่มนาน เพราะจะถูกเผาผลาญในร่างกายอย่างช้า ๆ .....มันฝรั่งต่อต้านโรคมะเร็ง,โรคลำไส้อักเสบและโรคความดันโลหิตสูงได้.....ได้มีนักวิชาการกลุ่มหนึ่ง....ทำการวิเคราะห์วิจัยเกี่ยวกับมันฝรั่ง สรุปผลการวิจัยดังนี้.....มันฝรั่งต้มให้สุกแล้วนำมาทำสลัด หรือมันฝรั่งลูกเล็กกลม ๆ สามารถป้องกันโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี....และโดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง.....ถ้าบริโภคเป็นประจำเป็นอาหารหลัก จะสามารถรักษาโรคความดันโลหิตให้หายได้
มันฝรั่งมีหลายชนิด....สามารถรับประทานเพื่อลดน้ำหนักได้.....แม้กระนั้นยังสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากโรคไขข้อ โรคเก๊า โรคกระเพาะอาหารอักเสบ และโรคลำไส้อักเสบได้ด้วย.....วิธีรับบริโภคก็คือนำมันฝรั่งมาปลอกเปลือก แล้วบดให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำมาดื่มสด ๆ ดื่มวันละสามเวลาก่อนรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมง......ข้อความระวังคือ จุดสีเขียว ๆ ที่เปลือกต้องตัดทิ้งให้หมด เพราะเป็นสารพิษชนิดหนึ่งเรียกว่าสาร Solanin ซึ่งความร้อนไม่สามารถทำลายสารนี้ได้
สำหรับบทความเรื่องมันฝรั่งป้องกันโรคและรักษาโรคนี้ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านไม่น้อย....ถ้าทดลองได้ผลก็อย่าลืมแนะนำผู้อื่นด้วยนะคะ....เป็นการแบ่งปันความสุขอย่างหนึ่งจ๊ะ
แปลจากหนังสือ Praktisches Kursbuch gesunde Ernährung: CLAUDIA TEBEL- NAGY
วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วิธีป้องกันโรคเข่าเสื่อม
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน...หวังว่าคงมีร่างกายแข็งแรงดีนะคะ....ร่างกายหรือสังขารเป็นของไม่เที่ยง เป็นของเสื่อม เป็นของน่าเกลียด เป็นที่เกิดของโรคต่าง ๆ เป็นปัจจัยแห่งทุกข์ทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตนของเรา....พุทธพจน์
เราทุกคนกำลังเดินเข้าไปสู่ความแก่ ความเจ็บไข้ และความตาย ไม่มีใครหนีพ้นสัจจธรรมไปได้....ดังนั้นเพื่อความมีชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาท เราควรให้ความสนใจ ดูแลร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอยู่บ่อย ๆ อันเป็นอุปสรรคในการประกอบอาชีพและการงานต่าง ๆ
นอกจากจะสนใจดูแลเรื่องอาหารการกิน อย่างถูกหลักอนามัยแล้ว เราควรบริหารร่างกายอย่างถูกต้องด้วย จึงจะได้ประโยชน์ต่อร่างกาย....วันนี้ฉันจะนำเรื่องเกี่ยวกับการบริหารร่างกายเพื่อป้องกัน "โรคเข่าเสื่อม" มาเล่าสู่กันฟัง.....ฉันรู้จักโรคเข่าเสื่อมดีพอสมควร เพราะว่าเคยประสบกับตนเองมาแล้ว....มันเป็นโรคที่ทุกข์ทรมานมากทีเดียว หมอเคยสั่งให้ผ่าตัดเข่าทั้งสองข้างเมื่อ ๓ ปีมาแล้ว....เวลาปวดมาก ๆ ก็ไปหาหมอตรวจ และวัดกระดูก หมอก็สั่งให้ผ่าตัดทุกครั้ง....เมื่อปีที่แล้วฉันจำเป็นต้องเข้าโรงพยาบาลกรณีฉุกเฉิน ด้วยโรคเข่าเสื่อมเล่นงานกระทันหัน.....บ่ายวันหนึ่งฉันได้นอนพักผ่อน แล้วก็พลิกตัว ตั้งใจว่าจะลุกจากที่นอน ปรากฏว่าหัวเข่าข้างขวาพลิก ไปสามารถเหยียดขาหรือกระดุกกระดิกได้เลย แม้แต่มือตนเอง จะถูกต้องที่หัวเข่าก็ไม่ได้ เพราะปวดมาก สามีต้องโทรเรียกรถโรงพยาบาลมารับส่งโรงพยาบาลด่วน...กว่ารถจะมาถึงเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ฉันได้รับความทุกขเวทนาอย่างสุด ๆ เลย ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน...หมอได้ตรวจและเอ๊กซเรย์ดู พบว่ากระดูกเข่าเสื่อมและกล้ามเนื้อลีบ...หมอแนะนำว่า ควรจะผ่าตัด เพราะว่าหากปล่อยไว้นาน ๆ ก็จะต้องเสื่อมมากกว่านี้
ฉันไม่ตกลงผ่าตัด.....แต่ขอลองใช้วิธีกายภาพบำบัด คือการบริหารเข่าเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ....ฉันได้ไปฝึกการบริหารหัวเข่า กับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นเวลา ๙ ชั่วโมง แล้วก็มาบริหารเองที่บ้านทุกวัน จนทุกวันนี้ก็ไม่มีอาการปวดที่หัวเข่า และไม่โดนยึดเส้นอีกเลย เมื่อก่อนโดนยึดบ่อย จนเกิดความกลัวการเคลื่่อนไหวในอิริยาบถต่าง ๆ กลัวการเดินทางไกล....เดี๋ยวนี้เดินนานเป็นชั่วโมง ก็ไม่มีปัญหา นั่งสมาธินาน ๆ ก็ไม่เป็นไร....ฉันจึงนึกถึงท่านผู้อ่าน บางท่านอาจจะมีญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง หรือคนรู้จักกัน ที่เป็นโรคเข่าเสื่อม ก็นำความรู้ที่ฉันแนะนำมานี้ ไปเผยแพร่ต่อได้เลย....ฉันทราบดีว่า อาการปวดของโรคเข่าเสื่อมมันทรมานมากขนาดไหน จึงไม่อยากให้ผู้อื่นทรมานเหมือนฉัน
วิธีการบริหารแก้โรคเข่าเสื่อม เป็นวิธีนี้ทำได้สะดวกมาก เพราะไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วย จะขอแนะนำเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้
๑. นอนบนเตียง,โซฟา หรือนอนบนพื้นไม้ (แล้วแต่จะสะดวก) มีหมอนหนุนศีรษะด้วย นอนหงายหลังแนบกับพื้น
๒. ยกเข่าข้างขวาชันขึ้น เอามือทั้งสองข้างจับรอบเข่าแล้วค่อย ๆ โน้มเข้าหาหน้าอกอย่างช้า ๆ แล้วปล่อยออก...ดึงเข้าแล้วปล่อย ๆ นับให้ได้ประมาณ ๑๐ ครั้ง สำหรับในการเริ่มครั้งแรก....ครั้งต่อไปก็นับเพิ่มขึ้นทีละ ๕ ครั้ง....จากนั้นก็เปลี่ยนทำข้างซ้ายในลักษณะเดียวกัน
๓. ยกเข่าทั้งสองข้างตั้งขึ้น เท้าทั้งสองวางกับพื้น ยกช่วงท้องแอ่นขึ้น (ท่าสะพาน) นับหนึ่ง แล้วค่อย ๆ ปล่อยลงให้หลังแนบสนิทกับพื้น ทำให้ได้สิบครั้ง ครั้งต่อไปก็เพิ่มอีก ๕ ครั้ง
๔. นอนราบกับพื้นในท่าเดิมอยู่ ตอนนี้เป็นท่าเคลื่อนไหวที่ช่วงสะโพก...มือทั้งสองข้างแนบลำตัว....เริ่มเคลื่อนสะโพกขวาและซ้ายขึ้นลงสลับกันอย่างช้า ๆ นับให้ได้ ๑๐ ครั้งเช่นกัน
๕. นอนราบกับพื้น แขนทั้งสองแนบลำตัว....ยกเข่าขึ้นแล้วทำท่าเหมือนถีบจักรยาน ๑๐ ครั้ง แล้วสลับทำข้างซ้ายอีก ๑๐ ครั้ง
๖. ยกเข่าขวาขึ้น แล้วหมุนเป็นวงกลมไปทางขวา ๕ รอบ หมุนทางซ้ายอีก ๕ รอบ....จากนั้นหมุนเข่าซ้ายก็ทำเช่นเดียวกัน
๗. ยกเข่าทั้งสองข้างชันขึ้น เท้าทั้งสองข้างวางติดพื้น แขนแนบลำตัว....เอนเข่าทั้งสองไปทางขวาอย่างช้า ๆ พอประมาณ แล้วเอนไปทางซ้ายช้า ๆ ทำสลับกันเช่นนี้ ๑๐ ครั้ง
๘. ยกเข่าทั้งสองข้างชันขึ้น ยกเข่าขวาให้ลอยจากพื้นพอประมาณ เอามือข้างซ้ายผลักเข่าขวาออกไปจากตัวช้า ๆ นับไป ๑๐ ครั้ง และข้างซ้ายก็ทำเช่นกัน....เป็นอันว่าจบการบริหารโดยสมบูรณ์
การบริหารนี้มีผลดีมาก ไม่เฉพาะแต่หัวเข่าเท่านั้น ยังมีผลดีต่อกระดูกส่วนอื่น ๆ อีกด้วย เช่น กระดูกสันหลัง และสะโพกด้วย ผู้ที่เคยปวดสันหลังเป็นประจำ หรือปวดสะโพกบ่อย ๆ ถ้าบริหารอย่างสม่เสมอบ่วันละ ๓ เวลาได้ยิ่งดี อาการปวดจะหายไปโดยเด็ดขาดได้ เพราะการบริหารวิธีนี้ เป็นการสร้างกล้ามเนื้อให้แก่บริเวณสันหลังและสะโพกไปด้วย....ท่านจะบริหารตอนขณะที่ดูทีวี ก็ย่อมทำได้.....ตอนก่อนนอนและก่อนลุกจากที่นอนก็ได้จ๊ะ....ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงนะคะ
เราทุกคนกำลังเดินเข้าไปสู่ความแก่ ความเจ็บไข้ และความตาย ไม่มีใครหนีพ้นสัจจธรรมไปได้....ดังนั้นเพื่อความมีชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาท เราควรให้ความสนใจ ดูแลร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอยู่บ่อย ๆ อันเป็นอุปสรรคในการประกอบอาชีพและการงานต่าง ๆ
นอกจากจะสนใจดูแลเรื่องอาหารการกิน อย่างถูกหลักอนามัยแล้ว เราควรบริหารร่างกายอย่างถูกต้องด้วย จึงจะได้ประโยชน์ต่อร่างกาย....วันนี้ฉันจะนำเรื่องเกี่ยวกับการบริหารร่างกายเพื่อป้องกัน "โรคเข่าเสื่อม" มาเล่าสู่กันฟัง.....ฉันรู้จักโรคเข่าเสื่อมดีพอสมควร เพราะว่าเคยประสบกับตนเองมาแล้ว....มันเป็นโรคที่ทุกข์ทรมานมากทีเดียว หมอเคยสั่งให้ผ่าตัดเข่าทั้งสองข้างเมื่อ ๓ ปีมาแล้ว....เวลาปวดมาก ๆ ก็ไปหาหมอตรวจ และวัดกระดูก หมอก็สั่งให้ผ่าตัดทุกครั้ง....เมื่อปีที่แล้วฉันจำเป็นต้องเข้าโรงพยาบาลกรณีฉุกเฉิน ด้วยโรคเข่าเสื่อมเล่นงานกระทันหัน.....บ่ายวันหนึ่งฉันได้นอนพักผ่อน แล้วก็พลิกตัว ตั้งใจว่าจะลุกจากที่นอน ปรากฏว่าหัวเข่าข้างขวาพลิก ไปสามารถเหยียดขาหรือกระดุกกระดิกได้เลย แม้แต่มือตนเอง จะถูกต้องที่หัวเข่าก็ไม่ได้ เพราะปวดมาก สามีต้องโทรเรียกรถโรงพยาบาลมารับส่งโรงพยาบาลด่วน...กว่ารถจะมาถึงเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ฉันได้รับความทุกขเวทนาอย่างสุด ๆ เลย ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน...หมอได้ตรวจและเอ๊กซเรย์ดู พบว่ากระดูกเข่าเสื่อมและกล้ามเนื้อลีบ...หมอแนะนำว่า ควรจะผ่าตัด เพราะว่าหากปล่อยไว้นาน ๆ ก็จะต้องเสื่อมมากกว่านี้
ฉันไม่ตกลงผ่าตัด.....แต่ขอลองใช้วิธีกายภาพบำบัด คือการบริหารเข่าเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ....ฉันได้ไปฝึกการบริหารหัวเข่า กับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นเวลา ๙ ชั่วโมง แล้วก็มาบริหารเองที่บ้านทุกวัน จนทุกวันนี้ก็ไม่มีอาการปวดที่หัวเข่า และไม่โดนยึดเส้นอีกเลย เมื่อก่อนโดนยึดบ่อย จนเกิดความกลัวการเคลื่่อนไหวในอิริยาบถต่าง ๆ กลัวการเดินทางไกล....เดี๋ยวนี้เดินนานเป็นชั่วโมง ก็ไม่มีปัญหา นั่งสมาธินาน ๆ ก็ไม่เป็นไร....ฉันจึงนึกถึงท่านผู้อ่าน บางท่านอาจจะมีญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง หรือคนรู้จักกัน ที่เป็นโรคเข่าเสื่อม ก็นำความรู้ที่ฉันแนะนำมานี้ ไปเผยแพร่ต่อได้เลย....ฉันทราบดีว่า อาการปวดของโรคเข่าเสื่อมมันทรมานมากขนาดไหน จึงไม่อยากให้ผู้อื่นทรมานเหมือนฉัน
วิธีการบริหารแก้โรคเข่าเสื่อม เป็นวิธีนี้ทำได้สะดวกมาก เพราะไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วย จะขอแนะนำเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้
๑. นอนบนเตียง,โซฟา หรือนอนบนพื้นไม้ (แล้วแต่จะสะดวก) มีหมอนหนุนศีรษะด้วย นอนหงายหลังแนบกับพื้น
๒. ยกเข่าข้างขวาชันขึ้น เอามือทั้งสองข้างจับรอบเข่าแล้วค่อย ๆ โน้มเข้าหาหน้าอกอย่างช้า ๆ แล้วปล่อยออก...ดึงเข้าแล้วปล่อย ๆ นับให้ได้ประมาณ ๑๐ ครั้ง สำหรับในการเริ่มครั้งแรก....ครั้งต่อไปก็นับเพิ่มขึ้นทีละ ๕ ครั้ง....จากนั้นก็เปลี่ยนทำข้างซ้ายในลักษณะเดียวกัน
๓. ยกเข่าทั้งสองข้างตั้งขึ้น เท้าทั้งสองวางกับพื้น ยกช่วงท้องแอ่นขึ้น (ท่าสะพาน) นับหนึ่ง แล้วค่อย ๆ ปล่อยลงให้หลังแนบสนิทกับพื้น ทำให้ได้สิบครั้ง ครั้งต่อไปก็เพิ่มอีก ๕ ครั้ง
๔. นอนราบกับพื้นในท่าเดิมอยู่ ตอนนี้เป็นท่าเคลื่อนไหวที่ช่วงสะโพก...มือทั้งสองข้างแนบลำตัว....เริ่มเคลื่อนสะโพกขวาและซ้ายขึ้นลงสลับกันอย่างช้า ๆ นับให้ได้ ๑๐ ครั้งเช่นกัน
๕. นอนราบกับพื้น แขนทั้งสองแนบลำตัว....ยกเข่าขึ้นแล้วทำท่าเหมือนถีบจักรยาน ๑๐ ครั้ง แล้วสลับทำข้างซ้ายอีก ๑๐ ครั้ง
๖. ยกเข่าขวาขึ้น แล้วหมุนเป็นวงกลมไปทางขวา ๕ รอบ หมุนทางซ้ายอีก ๕ รอบ....จากนั้นหมุนเข่าซ้ายก็ทำเช่นเดียวกัน
๗. ยกเข่าทั้งสองข้างชันขึ้น เท้าทั้งสองข้างวางติดพื้น แขนแนบลำตัว....เอนเข่าทั้งสองไปทางขวาอย่างช้า ๆ พอประมาณ แล้วเอนไปทางซ้ายช้า ๆ ทำสลับกันเช่นนี้ ๑๐ ครั้ง
๘. ยกเข่าทั้งสองข้างชันขึ้น ยกเข่าขวาให้ลอยจากพื้นพอประมาณ เอามือข้างซ้ายผลักเข่าขวาออกไปจากตัวช้า ๆ นับไป ๑๐ ครั้ง และข้างซ้ายก็ทำเช่นกัน....เป็นอันว่าจบการบริหารโดยสมบูรณ์
การบริหารนี้มีผลดีมาก ไม่เฉพาะแต่หัวเข่าเท่านั้น ยังมีผลดีต่อกระดูกส่วนอื่น ๆ อีกด้วย เช่น กระดูกสันหลัง และสะโพกด้วย ผู้ที่เคยปวดสันหลังเป็นประจำ หรือปวดสะโพกบ่อย ๆ ถ้าบริหารอย่างสม่เสมอบ่วันละ ๓ เวลาได้ยิ่งดี อาการปวดจะหายไปโดยเด็ดขาดได้ เพราะการบริหารวิธีนี้ เป็นการสร้างกล้ามเนื้อให้แก่บริเวณสันหลังและสะโพกไปด้วย....ท่านจะบริหารตอนขณะที่ดูทีวี ก็ย่อมทำได้.....ตอนก่อนนอนและก่อนลุกจากที่นอนก็ได้จ๊ะ....ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงนะคะ
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554
สุขภาพดีด้วยการบริโภคผักทุกวัน
ร่างกายหรือที่ทางธรรมะเรียกว่า "สังขาร" นั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า "สัพเพ สังขารา อนิจจา" แปลว่าสังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง มีแต่ความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ความไม่เที่ยงและความเสื่อมนี่แหละเป็นเหตุแห่งความทุกข์ ถ้าเราเข้าใจตามความเป็นจริงของสังขาร เราก็จะสามารถอยู่กับมันได้โดยไม่ทุกข์มาก เมื่อเราทราบแล้วว่า ร่างกายหรือสังขารนี้ มันจะต้องมีความแก่, ความเจ็บป่วยและความตายเกิดขึ้นแก่เราเป็นธรรมดา เราไม่มีทางหนีความจริงนี้ได้เลย แต่เราสามารถที่จะชลอความแก่และป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนบ่อย ๆ ได้ ด้วยการรู้จักวิธีบริโภคอาหารให้ถูกหลักโภชนาการและรู้จักบริหารร่างกายสม่ำเสมอ นอกจากนั้นทางด้านจิตใจ ก็จำเป็นต้องได้รับการบริโภคอาหารใจที่ถูกต้องด้วยเช่นกัน ชีวิตจึงจะมีความสุขทั้งกายและใจ
ผู้ที่รับประทานผักเป็นประจำ มีชีวิตดีกว่าผู้รับประทานเนื้อสัตว์
ท่านผู้ใดรับประทานผักแทนเนื้อสัตว์ ท่านผู้นั้นจะไม่ต้องเป็นห่วงสุขภาพเกี่ยวกับเรื่องฮอร์โมนสัตว์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะเหตุว่าฮอร์โมนเทียมที่ใช้เร่งในการเจริญเติบโตของสัตว์ เพื่อที่จะให้ทันการบริโภคนั้น เป็นอันตรายต่อสุขภาพมาก เช่นทำให้ร่างกายใหญ่โตรวดเร็วผิดปกติ ผู้ชายก็จะมีหน้าอกใหญ่เหมือนผู้หญิง จะตัวโตผิดปกติ จะเห็นได้ว่า คนสมัยปัจจุบันนี้รูปร่างใหญ่โตจนดูน่าเกลียด ก็เพราะชอบรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์และอาหารสำเร็จ เป็นเหตุให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจและโรคมะเร็งมากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ ได้ให้การแนะนำเกี่ยวกับการบริโภคอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ให้ลดปริมาณจากการบริโภคตามปกติ เหลือเพียงสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง ส่วนผักนั้นแน่นอนจะขาดไม่ได้เลย จะต้องมีประจำโต๊ะอาหารทุกวัน ผักมีคุณค่า, มีสารอาหารและธาตุต่าง ๆ ตามธรรมชาติซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก แต่ในบางครั้งก็มีข่าวเกี่ยวกับสารพิษในผัก อันเกิดจากปุ๋ยเคมี หรือพิษจากสิ่งแวดล้อม ดังนั้นผู้บริโภค จึงควรพิจารณาถึงแหล่งที่มาของผักก่อนซื้อด้วย เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของท่านเอง ก่อนที่จะประกอบอาหารก็ควรล้างด้วยน้ำที่สะอาดเสียก่อน
การรับประทานผักสดมาก ๆ เป็นประจำใช่ว่าจะทำให้มีอายุยืนเสมอไป แต่อย่างไรก็ตาม ต้องดีกว่าการรับประทานเนื้อสัตว์เป็นประจำอย่างแน่นอน ตามหลักวิชาการของนักโภชนาการ ได้วิเคราะห์เปรียบเทียบและสรุปได้ดังนี้ ผู้ที่รับประทานผักทุกวัน จะเจ็บป่วยน้อยมากเกี่ยวกับโรคไต,โรคนิ่วและไม่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจวาย, หัวใจล้มเหลวและจะไม่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง
การรับประทานผักเพื่อสุขภาพ ควรเลือกรับประทานผักตามฤดูกาล ผักไม่มีแคลอรี่มากเหมือนเนื้อสัตว์ จึงทำให้น้ำหนักตัวไม่มาก ข้อควรระวังสำหรับท่านผู้ที่รับประทานแต่มังสะวิรัติเป็นเวลานาน ๆ อาจจะทำให้เป็นโรคขาดสารอาหารได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคขาดสารอาหาร ควรรับประทานไข่และผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิดเพิ่ม
นักวิเคราะห์วิจัยทางด้านอาหารหลายท่านได้ยืนยันว่า ผักกระหล่ำทุกชนิดป้องกันโรคกระเพาะ, โรคมะเร็งลำไส้และโรคมะเร็งเกี่ยวกับทางเดินของลมหายใจ ถั่วทุกชนิดและมันฝรั่งป้องกันมะเร็งลำไส้ได้ด้วย
แปลจากหนังสือ Praktisches Kursbuch gesund Ernährung: Claudia Tebel-Nagy
ผู้ที่รับประทานผักเป็นประจำ มีชีวิตดีกว่าผู้รับประทานเนื้อสัตว์
ท่านผู้ใดรับประทานผักแทนเนื้อสัตว์ ท่านผู้นั้นจะไม่ต้องเป็นห่วงสุขภาพเกี่ยวกับเรื่องฮอร์โมนสัตว์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะเหตุว่าฮอร์โมนเทียมที่ใช้เร่งในการเจริญเติบโตของสัตว์ เพื่อที่จะให้ทันการบริโภคนั้น เป็นอันตรายต่อสุขภาพมาก เช่นทำให้ร่างกายใหญ่โตรวดเร็วผิดปกติ ผู้ชายก็จะมีหน้าอกใหญ่เหมือนผู้หญิง จะตัวโตผิดปกติ จะเห็นได้ว่า คนสมัยปัจจุบันนี้รูปร่างใหญ่โตจนดูน่าเกลียด ก็เพราะชอบรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์และอาหารสำเร็จ เป็นเหตุให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจและโรคมะเร็งมากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ ได้ให้การแนะนำเกี่ยวกับการบริโภคอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ให้ลดปริมาณจากการบริโภคตามปกติ เหลือเพียงสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง ส่วนผักนั้นแน่นอนจะขาดไม่ได้เลย จะต้องมีประจำโต๊ะอาหารทุกวัน ผักมีคุณค่า, มีสารอาหารและธาตุต่าง ๆ ตามธรรมชาติซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก แต่ในบางครั้งก็มีข่าวเกี่ยวกับสารพิษในผัก อันเกิดจากปุ๋ยเคมี หรือพิษจากสิ่งแวดล้อม ดังนั้นผู้บริโภค จึงควรพิจารณาถึงแหล่งที่มาของผักก่อนซื้อด้วย เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของท่านเอง ก่อนที่จะประกอบอาหารก็ควรล้างด้วยน้ำที่สะอาดเสียก่อน
การรับประทานผักสดมาก ๆ เป็นประจำใช่ว่าจะทำให้มีอายุยืนเสมอไป แต่อย่างไรก็ตาม ต้องดีกว่าการรับประทานเนื้อสัตว์เป็นประจำอย่างแน่นอน ตามหลักวิชาการของนักโภชนาการ ได้วิเคราะห์เปรียบเทียบและสรุปได้ดังนี้ ผู้ที่รับประทานผักทุกวัน จะเจ็บป่วยน้อยมากเกี่ยวกับโรคไต,โรคนิ่วและไม่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจวาย, หัวใจล้มเหลวและจะไม่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง
การรับประทานผักเพื่อสุขภาพ ควรเลือกรับประทานผักตามฤดูกาล ผักไม่มีแคลอรี่มากเหมือนเนื้อสัตว์ จึงทำให้น้ำหนักตัวไม่มาก ข้อควรระวังสำหรับท่านผู้ที่รับประทานแต่มังสะวิรัติเป็นเวลานาน ๆ อาจจะทำให้เป็นโรคขาดสารอาหารได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคขาดสารอาหาร ควรรับประทานไข่และผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิดเพิ่ม
นักวิเคราะห์วิจัยทางด้านอาหารหลายท่านได้ยืนยันว่า ผักกระหล่ำทุกชนิดป้องกันโรคกระเพาะ, โรคมะเร็งลำไส้และโรคมะเร็งเกี่ยวกับทางเดินของลมหายใจ ถั่วทุกชนิดและมันฝรั่งป้องกันมะเร็งลำไส้ได้ด้วย
แปลจากหนังสือ Praktisches Kursbuch gesund Ernährung: Claudia Tebel-Nagy
วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ปิรามิดเพื่อสุขภาพ
ปิรามิดนี้จะแสดงให้เราทราบว่า อาหารหมู่ใด มีความจำเป็นต่อร่างกายมากน้อยเพียงไร เราควรสนใจรับประทานอาหาร ให้ครบทุกหมู่ในชีวิตประจำวัน และปิรามิดนี้ เราสามารถปรับเปลี่ยนยืดหยุ่นได้ ตั้งแต่ยอดของปิรามิด เราสามารถบริโภคให้น้อยลง ส่วนฐานของปิรามิดซึ่งกว้างใหญ่กว่าส่วนอื่น ๆ นั้น เราสามารถบริโภคได้ทุกโอกาส
ปิรามิดเพื่อสุขภาพนี้ แสดงถึงพลังงานและคุณค่าของอาหารโดยถัวเฉลี่ยของประชากร จากส่วนยอดสุด เป็นส่วนที่เสริมพลังงานจากอาหารแต่ละชนิด ปิรามิดนี้สร้างขึ้นเพื่อวัดคุณภาพ เกี่ยวกับการบริโภคอาหารเพื่อชีวิต ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ประโยชน์ต่าง ๆ จากอาหาร เช่น
โปรตีน, ไขมันและคาร์โบไฮเดรท เป็นธาตุสารอาหารส่วนสำคัญที่เราบริโภคและควรให้ได้สัดส่วนกัน เช่น ไขมันน้อย โปรตีนเพียงพอและคาร์โบไฮเดรทมาก ในส่วนยอดของปิรามิด เราจะพบว่าไขมันและโปรตีนมีมากเพียงพอ ส่วนล่างถัดไปก็เป็นพวกคาร์โบไฮเดรท ล่างสุดก็เป็นน้ำและของเหลว แสดงให้เห็นว่า อาหารทุกหมู่สมดุลกันอย่างถูกต้อง
สำหรับการปรับเปลี่ยนหมู่อาหารนั้น จะเห็นว่าอาหารทุกหมู่ให้คุณค่าหลายประการ แต่มีสารอาหารแตกต่างกัน มีประโยชน์ต่างกันด้วย เช่น วิตามินแต่ละชนิด เกลือแร่ต่าง ๆ ดังนั้นถ้ามีการปรับเปลี่ยนการบริโภคอาหารบางหมู่ เราควรสังเกตให้ดีในเรื่องของประโยชน์และคุณค่าของอาหารนั้น ๆ ด้วย
การเปลี่ยนอาหารรับประทานบ่อย ๆ โดยไม่ซ้ำกัน ย่อมมีโอกาสที่จะได้สารอาหารและคุณค่าของอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายครบถ้วน
ส่วนที่ ๑ ส่วนล่าง (สีเทา)สุดเป็นน้ำหรือของเหลวซึ่งเป็นส่วนที่มีปริมาณมากที่สุด น้ำในที่นี้ร่วมเครื่องด่ื่มทุกชนิดด้วย
ส่วนที่ ๒ (สีเขียว) ได้แก่ผักและผลไม้ทุกชนิด
ส่วนที่ ๓ (สีน้ำตาล) ได้แก่ แป้ง ข้าวทุกชนิด ข้าวโพด มันฝรั่ง ขนมปัง
ส่วนที่ ๔ ซีกซ้าย(สีฟ้า) ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด
ซีกขวา (สีแดง) ได้แก่ ถั่ว งา ไข่ เนื้อสัตว์ กุ้ง หอย ปู ปลา เต้าหู้
ส่วนที่ ๕ สุดยอดซีกซ้าย (สีเหลือง) ได้แก่ น้ำมัน ไขมัน
ซีกขวา (สีม่วง) ได้แก่น้ำตาลและของหวานทุกชนิด
โปรดระวัง...ควรสังเกตให้ดี อาหารและเครื่องดื่มบางชนิด มีไขมันและน้ำตาลปนอยู่มาก โดยที่มองไม่เห็น ถ้ารับประทานบ่อย ๆ น้ำหนักจะเพิ่มโดยไม่รู้ตัวได้
สำหรับปิรามิดอาหารนี้ สามารถยืดหยุ่นได้ตามวัย สถานที่อยู่อาศัยและอาชีพการงาน เราสามารถปรับเปลี่ยน ตามความต้องการของร่างกายได้ด้วย เช่น นักกีฬาต้องฝึกซ้อม ออกกำลังกายมาก ๆ ทุกวัน ควรเปลี่ยนปิรามิด ในอาหารส่วนที่ให้พลังงานลงไปอยู่ข้างล่าง แทนส่วนที่เป็นพวกผักและผลไม้ หมายความว่า ต้องบริโภคอาหารจำพวก แป้ง ถั่ว มัน (คาร์โบไฮเดรท) มากกว่าปรกติ
ท่านใดสนใจอยากมีสุขภาพแข็งแรง เพื่อความสุขแห่งชีวิต เชิญทดลองสร้างปิรามิดอาหารเพื่อชีวิตได้ตามความต้องการ และขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงนะคะ
(แปลจากหนังสือประกอบการเรียนโภชนาการ ชื่อ "Tiptopf " )
ปิรามิดเพื่อสุขภาพนี้ แสดงถึงพลังงานและคุณค่าของอาหารโดยถัวเฉลี่ยของประชากร จากส่วนยอดสุด เป็นส่วนที่เสริมพลังงานจากอาหารแต่ละชนิด ปิรามิดนี้สร้างขึ้นเพื่อวัดคุณภาพ เกี่ยวกับการบริโภคอาหารเพื่อชีวิต ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ประโยชน์ต่าง ๆ จากอาหาร เช่น
โปรตีน, ไขมันและคาร์โบไฮเดรท เป็นธาตุสารอาหารส่วนสำคัญที่เราบริโภคและควรให้ได้สัดส่วนกัน เช่น ไขมันน้อย โปรตีนเพียงพอและคาร์โบไฮเดรทมาก ในส่วนยอดของปิรามิด เราจะพบว่าไขมันและโปรตีนมีมากเพียงพอ ส่วนล่างถัดไปก็เป็นพวกคาร์โบไฮเดรท ล่างสุดก็เป็นน้ำและของเหลว แสดงให้เห็นว่า อาหารทุกหมู่สมดุลกันอย่างถูกต้อง
สำหรับการปรับเปลี่ยนหมู่อาหารนั้น จะเห็นว่าอาหารทุกหมู่ให้คุณค่าหลายประการ แต่มีสารอาหารแตกต่างกัน มีประโยชน์ต่างกันด้วย เช่น วิตามินแต่ละชนิด เกลือแร่ต่าง ๆ ดังนั้นถ้ามีการปรับเปลี่ยนการบริโภคอาหารบางหมู่ เราควรสังเกตให้ดีในเรื่องของประโยชน์และคุณค่าของอาหารนั้น ๆ ด้วย
การเปลี่ยนอาหารรับประทานบ่อย ๆ โดยไม่ซ้ำกัน ย่อมมีโอกาสที่จะได้สารอาหารและคุณค่าของอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายครบถ้วน
ดูปิรามิดในส่วนต่าง ๆ ดังนี้
ส่วนที่ ๑ ส่วนล่าง (สีเทา)สุดเป็นน้ำหรือของเหลวซึ่งเป็นส่วนที่มีปริมาณมากที่สุด น้ำในที่นี้ร่วมเครื่องด่ื่มทุกชนิดด้วย
ส่วนที่ ๒ (สีเขียว) ได้แก่ผักและผลไม้ทุกชนิด
ส่วนที่ ๓ (สีน้ำตาล) ได้แก่ แป้ง ข้าวทุกชนิด ข้าวโพด มันฝรั่ง ขนมปัง
ส่วนที่ ๔ ซีกซ้าย(สีฟ้า) ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด
ซีกขวา (สีแดง) ได้แก่ ถั่ว งา ไข่ เนื้อสัตว์ กุ้ง หอย ปู ปลา เต้าหู้
ส่วนที่ ๕ สุดยอดซีกซ้าย (สีเหลือง) ได้แก่ น้ำมัน ไขมัน
ซีกขวา (สีม่วง) ได้แก่น้ำตาลและของหวานทุกชนิด
โปรดระวัง...ควรสังเกตให้ดี อาหารและเครื่องดื่มบางชนิด มีไขมันและน้ำตาลปนอยู่มาก โดยที่มองไม่เห็น ถ้ารับประทานบ่อย ๆ น้ำหนักจะเพิ่มโดยไม่รู้ตัวได้
สำหรับปิรามิดอาหารนี้ สามารถยืดหยุ่นได้ตามวัย สถานที่อยู่อาศัยและอาชีพการงาน เราสามารถปรับเปลี่ยน ตามความต้องการของร่างกายได้ด้วย เช่น นักกีฬาต้องฝึกซ้อม ออกกำลังกายมาก ๆ ทุกวัน ควรเปลี่ยนปิรามิด ในอาหารส่วนที่ให้พลังงานลงไปอยู่ข้างล่าง แทนส่วนที่เป็นพวกผักและผลไม้ หมายความว่า ต้องบริโภคอาหารจำพวก แป้ง ถั่ว มัน (คาร์โบไฮเดรท) มากกว่าปรกติ
ท่านใดสนใจอยากมีสุขภาพแข็งแรง เพื่อความสุขแห่งชีวิต เชิญทดลองสร้างปิรามิดอาหารเพื่อชีวิตได้ตามความต้องการ และขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงนะคะ
(แปลจากหนังสือประกอบการเรียนโภชนาการ ชื่อ "Tiptopf " )
วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ปวดศีรษะและไมเกรน
วิธีแก้ปวดศีรษะและโรคไมเกรน
แร่ธาตุที่สำคัญคือ แมกเนเซี่ยม ช่วยแก้ปวดศีรษะได้ โดยเฉพาะมีใน ถั่วทุกชนิด ข้าวรวมอนามัย ข้าวโอ๊ต ผักสีเขียว ซุปถั่วลันเตาหรือที่นิยมเรียกกันว่า "ซุปนักศึกษา" ช่วยแก้ปวดศีรษะได้ หรือเรียกอีกชื่อว่า "ซุปแอนตี้ปวดศีรษะ" สูตรง่าย ๆ คือ หัวหอมใหญ่หั่นเล็ก ๆ เนยเหลวนิดหน่อย ถั่วลันเตา ๒๐๐ กรัม ใส่ซุปก้อนครึ่งก้อน ขิงอ่อนนิดหน่อย ตะไคร้นิดหน่อย ต้มรวมกันประมาณ ๒๐ นาที หรือชอบเละ ๆ ก็ต้มนานกว่านี้ได้ ปรุงรสชาดตามชอบ อร่อยและมีประโยชน์มากต่อสุขภาพ
น้ำมันสะระแหน่แก้ปวดศีรษะ หยดน้ำมันสะระแหน่ ๒-๓ หยด แตะที่หน้าผาก ขมับ นวดเบา ๆ ความเย็นของเมนธอล ทำให้คลายความปวดได้
แก้ปวดด้วยวิธีกดด้วยนิ้วมือ ระหว่างโคนนิ้วโป้งกับโคนนิ้วชี้ ตรงนี้มีพลังสูบฉีดขึ้นสมอง นวดวนเป็นวงกลม จนอาการปวดเบาลง แล้วเปลี่ยนนวดแนวตรง ถ้าปวดมาก จุดที่หาง่ายคือ ตรงติ่งหู ใช้นวดทั้งสองข้างด้วยนิ้วโป้งกับนิ้วชี้
อาการกระหายน้ำ เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดปวดศีรษะ เป็นเหตุผลง่าย ๆ เป็นอาการของคนปวดศีรษะเป็นประจำ แต่คนส่วนมากไม่ทราบ การกระหายน้ำนี้เป็นสัญญาณเตือนว่า จะมีการปวดศีรษะเกิดขึ้น สาเหตุจริง ๆ ของการปวดศีรษะคือ Dehydration ในสมอง, ประสาทและเซล มีน้ำไปหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ ฉะนั้นจึงควรดื่มน้ำมาก ๆ
วิธีช๊อคด้วยความเย็น โดยเฉพาะอาการปวดศีรษะอย่างหนักและไมเกรน แก้ปวดด้วยการทำให้เส้นเลือดในส่วนของศีรษะเย็น คือเอาน้ำแข็งเป็นก้อนห่อด้วยผ้า แล้ววางบนศีรษะส่วนที่ปวด เอามือจุ่มลงในน้ำแข็งบ่อย ๆ และเอาน้ำแข็งแตะที่เปลือกตา จะช่วยทำให้ไมเกรนหายได้
มันฝรั่งแก้ปวดศีรษะได้ด้วย เป็นสูตรของคุณย่าทวด เป็นยาประจำบ้าน มันฝรั่งมีแร่ธาตุสารอาหารมาก หั่นมันฝรั่งชิ้นเล็กบาง ๆ วางเรียงบนหน้าผาก น้ำของมันฝรั่งมีความเย็น ช่วยคลายความปวดได้ ถ้าแผ่นมันฝรั่งอุ่น ให้เปลี่ยนแผ่นใหม่ ทำจนกว่าอาการปวดหายไป
กาแฟวิเศษแก้ปวดศีรษะและไมเกรนได้ด้วย กาแฟดำใส่น้ำผึ้งและน้ำมะนาว แก้ไข้หวัดและไข้หวัดติดเชื้อแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี
ชาดำใส่น้ำมะนาว แก้ปวดศีรษะและไมเกรนได้ ถ้าดื่มยากก็เติมน้ำผึ้งนิดหน่อย
ใครปวดศีรษะบ่อย ๆ หรือเป็นโรคไมเกรนลองใช้วิธีต่าง ๆ ได้เลย ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีสุขภาพดีนะคะ
วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
คุณทราบไหม
รับประทานอะไรทำให้แก่เร็ว
รับประทานอะไรทำให้หนุ่มนาน
ใครไม่อยากแก่เร็ว ควรเลี่ยงรับประทานสิ่งต่อไปนี้
น้ำตาล เป็นต้นเหตุทำให้ผิวหนังแห้งด้านและทำลาย Kollagen น้ำตาลโมเลกูลทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นและพลังกล้ามเนื้ออ่อนแอลง นอกจากนั้นยังทำให้เห็นรอยย่นชัดเจนขึ้น
น้ำผลไม้คั้น มีน้ำตาลมาก ทำลายKollagen และทำลายการเจริญงอกงามของผิวหนัง เช่น น้ำองุ่น น้ำสับปะรด น้ำสัม น้ำแครอท โดยเฉพาะแครอท ที่นำมาทำให้สุกด้วยการต้ม จะมีความหวานมากกว่า
แครอทสด ๆ
ผลไม้อบแห้ง เช่น องุ่น แอปเปิ้ล สับปะรด กล้วยตาก ผลไม้แห้งที่มีรสหวานทุกชนิด
แตงโมเนื้อสีแดง มีน้ำน้ำมาก ๙๐ เปอร์เซ็นต์ มีน้ำตาลมากในนั้น ทำให้ความดันสูงกว่าปกติได้ ความหวานทำลายเซลผิวหนัง ทำให้ผิวเหี่ยวเร็วกว่าปกติ
กล้วยสุก มีน้ำตาลมากกว่าปกติ ทำลายผิวหนัง โดยเฉพาะผิวที่บางมาก ความหวานมาก ๆ ทำให้มีน้ำตาลในเลือดมากและทำให้กล้ามเนื้ออักเสบง่าย อ่อนแอ ผิวย่นก่อนวัย
ขนมปังขาว เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นหมี่ทำจากข้าวมีน้ำตาลมาก ทำให้เกิดเซลอักเสบง่าย เกิดฝ้าและผิวเป็นจุดด่างดำขยายมากขึ้น
Ketchup มีน้ำตาลมากประมาณ ๖๑ ก้อนต่อ ๑ ขวด รับประทานบ่อย ๆ ทำให้ผิวย่นเร็วและมีน้ำตาลในเส้นเลือดมาก
ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการชาวอเมริกัน จากฟลอริดา ได้วิจัยพบว่า ไขมันอย่างเลวคือไขมันประเภทแข็งทำลาย Aging
ใครอยากหนุ่มนาน ควรรับประทานสิ่งต่อไปนี้
สิ่งที่ทำให้หนุ่ม รักษาผิวให้ดูหนุ่มด้วยการไม่เพิ่มความหวานในอาหารที่บริโภค ความหวานละลายเร็วจึงแล่นจากลำไส้แล้วไหลไปอยู่ในเส้นเลือด
ผลไม้ที่รับประทานแล้วหนุ่มเสมอ เช่น Apple Aprikot Kiwi ส้ม มะนาว ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวทุกชนิดและผลไม้ ที่มีสีเขียวหรือสีเหลือง
ผักสีเขียวทุกชนิด มะเขือยาว มะเขือเทศ ผักสลัด แตงกวา ผักขม หัวหอม และถั่วทุกชนิด
ข้าวธรรมชาติ ข้าวรวม ข้าวอนามัยทุกชนิด ขนมปังทำจากแป้งอนามัยทุกชนิด
ผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด เช่น นมสด เนยแข็ง เนยอ่อน
งดสิ่งเสพติดทุกชนิด เช่น บุหรี่ แอลกอฮอร์ ยาเสพติดทุกชนิด
วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554
กินผักไม่เสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
ควรรับประทานผักทุกวัน
ผู้ที่รับประทานผักเป็นอาหารหลักส่ว และรับประทานเนื้อสัตว์เพียงเล็กน้อย ย่อมมีชีวิตอยู่ด้วยความปลอดภัย จากโรคร้ายแรงเบียดเบียน มากกว่าผู้บริโภคเนื้อสัตว์เป็นประจำ ปัจจุบันนี้ชาวยุโรปได้หันมารับประทานผักและผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์มากขึ้น นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ปริมาณการบริโภคเนื้อสัตว์ได้ลดลงมาก คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาสนใจอาหารมังสะวิรัตเพราะปลอดภัยจากสารพิษในเนื้อและไขมันสัตว์
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการทั่วโลก ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับผู้รับประทานผักทุกวันเป็นประจำ กับผู้ที่ไม่ค่อยรับประทานผัก ผลการวิจัยก็คือ ผู้ที่รับประทานผักทุกวัน จะไม่ค่อยป่วย และก็จะไม่เสียชีวิตด้วยโรคต่อไปนี้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดตีบ โรคกิ๊คท์ โรคไขข้ออักเสบ โรคตับ โรคไตและดรคนิ่วใถุงน้ำดี โรคหัวใจวาย โรคหัวใจล้มเหลว
ส่วนสถิติของผู้รับประทานเนื้อสัตว์นั้น ผลปรากฎว่า ผู้รับประทานเนื้อสัตว์เป็นประจำ จะมีปัญาเกี่ยวกับระบบขับถ่าย โรคกระดูกตามข้อ โรคหัวใจและโรคมะเร็งลำไส้ เพราะว่าเนื้อสัตว์ที่ถูกย่อยเรียบร้อยแล้ว จะไปตกค้างอยู่ที่ลำไส้ใหญ่เป็นเวลานาน ทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรียและแก๊ซในลำไส้ ทำให้เกิดสารชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งในลำไส้ได้ ในเนื้อย่างก็มีสารที่ทำให้เป็นโรคเนื้องอกและโรคมะเร็งในเม็ดเลือดได้ ชื่อ "โซไพริน" น้ำมันสัตว์ก็เป็นสารเคมีที่เป็นพิษร้ายแรงได้ เมื่อถูกความร้อนก็จะแปรสภาพเป็นสารพิษ เป็นเหตุให้เกิดมะเร็งได้เช่นกัน ผู้รับประทานเนื้อสัตว์มาก จะมีไขมันในเส้นเลือดสูง ไขมันสัคว์ไม่สามารถละลายในร่างกายมนุษย์ได้ จึงถูกเก็บสะสมไว้ตามผนังของเส้นเลือด ทำให้อุดตันเส้นเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่สะดวก หัวใจต้องทำงานหนักกว่าปรกติ ทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูงได้ และเป็นโรคหัวใจได้ด้วย
ชาวจีนและชาวญี่ปุ่นไม่รู้จัก "โรคกระดูกผุ" ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่ดื่มน้ำนมวัว แม้แต่เด็กอ่อนในประเทศจีนจะดื่มนมถั่วเหลืองหรือน้ำนมจากมารดาเท่านั้น นักวิจัยทางด้านโภชนาการได้วิจับพบว่า ชาวจีนและชาวญี่ปุนมีกระดูกแข็งแรง เพราะบริโภคผักเป็นอาหารหลักทุกมื้อ
การรับประทานผักและผลไม้ ที่มีสารต้านทานอนุมูลอิสระ จะช่วยลดการเสี่ยงต่อโรคไขมันอุดตันหลอดเลือด และยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ นอกจากนั้นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง สามารถป้องกันโรคมะเร็งเต้านมได้ เพราะมีเอสโตรเจนจำนวนมาก
หนังสืออ้างอิง.....Praktisches Kursbuch gesunde ERNàHRUNG
Claudia Tebel-Nagy
.............................................
วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ผลไม้เพื่อสุขภาพและความงาม
ส้ม (Orange) มีปลูกทั่วไปแทบทั่วโลก เป็นผลไม้ที่มีวิตามินที่สำคัญต่อร่างกายมาก โดยเฉพาะสำหรับฤดูหนาว ส้มจัดมีประโยชน์ อยู่ในพวกเดียวกับกล้วยและแอปเปิ้ล
เพราะมีแร่ธาตุสารอาหารและวิตามินมาก นอกจากนั้นยังเป็นผลไม้
ที่สามารถเก็บไว้ได้นาน เช่นเดียวกับกล้วยและแอปเปิ้ล ส้มมีหลาย
ชนิด นอกจากใช้รับประทานแล้วยังใช้ทำน้ำส้มคั้นได้ ใช้ประกอบ
อาหารคาวหวานก็ได้ด้วย
และช่วยให้เลือดหยุดเร็วเวลามีบาดแผล สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้
เพราะมีวิตามิน C มาก ช่วยผป้องกันไข้หวัดและป้องกันการติดเชื้อจากแบคทีเรีย,
เชื้อไวรัส, ป้องกันโรคมะเร็งต่าง ๆ นอกจากนั้นยังช่วยให้มีสมาธิดีอีกด้วย ถ้ารับประทานส้มเป็นประจำ จะทำให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น วิตามินซีช่วยในการเก็บแร่ธาตุได้ดีขึ้น เช่น ธาตุเหล็กและแคลเซี่ยม ธาตุสองชนิดนี้ช่วยป้องกันโรคโลหิตจางและโรคกระดูกผุ Flavolnoide ในส้มช่วยหยุดการเจริญเติบโตของมะเร็งในระบบย่อยอาหารและมะเร็งในเต้านม วิตามินซีทำให้เซลผิวหนังแข็งแรงทนทาน
น้ำมันดอกส้มใช้ผสมน้ำในอ่างอาบน้ำสำหรับอาบ ช่วยทำให้จิตใจสงบและคลายความเครียดได้ ดื่มชาดอกส้มก่อนนอน ช่วยในการหลับได้เป็นอย่างดี
มะละกอ (Papaya) ต้นกำเนิดในประเทศอเมริกากลาง ปัจจุบันมีปลูกกันมากในอเมริกาใต้และแถบเอเซีย,ฮาวาย, อินเดีย,ไทยและอัฟริกา มะละกอมีประโยชน์ต่อ
สุขภาพมาก เพราะมีวิตามินหลายชนิด เช่นวิตามิน A,C,E, Flavonoide,
Magnesium, Kalium,Enzyme มะละกอช่วยทำให้เยื้อผิวหนังทั้งข้างในและข้างนอกแข็งแรงทนทาน นอกจากนั้นยังเป็นยาระบายแก้โรคท้องผูก มะละกอและสัปปะรดได้ฉายาว่าเป็นยาวิเศษ เพราะใช้ลดน้ำหนักได้ มะละกอมี Emzyme ทำหน้าที่สำคัญในการเผาผลาญโปรตีน ทำลายสิ่งเน่าเปื่อยที่ตกค้างอยู่ตามผนังลำไส้ ซึ่งถ้าปล่อยไว้เป็นเวลานาน จะทำให้เป็นพิษต่ออวัยวะส่วนนั้นได้ โดยเฉพาะทำให้แก่เร็ว และทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายได้
แตงโมแตงไทย (Melome)
แตงโมแตงไทยมีหลายชนิด แตงโมมีเนื้อสีแดงสีเหลือง รสหวาน หรือที่เรียกกันว่า "แตงโมน้ำตาล" "แตงโมน้ำผึ้ง" แตงไทยก็มีหลายชนิด เช่น แตงไทยตาข่าย แตงไทยน้ำผึ้ง และอื่น ๆ อีกมากมาย มีลักษณะแตกต่างกัน มีลูกกลมและลูกรี แตงโมและแตงไทยส่วนมากมีรสหวานมาก ปัจจุบันมีปลูกในประเทศสเปญ, อิตาลี, อัฟริกาใต้,
อเมริกาใต้, นิวซีแลนด์,อิสราเอล และในแถบเอเซียหลายประเทศ
ข้อควรระวัง...แตงโมแตงไทยที่เสียหรือขึ้นรา ไม่ควรรับประทาน ต้องรีบทิ้งทันที เพราะเชื้อราในแตงโมแตงไทยทำให้เป็นโรคมะเร็งได้ เชื้อราแพร่ขยายตัวได้รวดเร็วมาก
เพราะมีแร่ธาตุสารอาหารและวิตามินมาก นอกจากนั้นยังเป็นผลไม้
ที่สามารถเก็บไว้ได้นาน เช่นเดียวกับกล้วยและแอปเปิ้ล ส้มมีหลาย
ชนิด นอกจากใช้รับประทานแล้วยังใช้ทำน้ำส้มคั้นได้ ใช้ประกอบ
อาหารคาวหวานก็ได้ด้วย
รักษาโรคหลายชนิดด้วยส้ม
ส้มมีสารทำลายเชื้อโรค (Enzyme) มาก ส้มสามารถป้องกันการอักเสบและช่วยให้เลือดหยุดเร็วเวลามีบาดแผล สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้
เพราะมีวิตามิน C มาก ช่วยผป้องกันไข้หวัดและป้องกันการติดเชื้อจากแบคทีเรีย,
เชื้อไวรัส, ป้องกันโรคมะเร็งต่าง ๆ นอกจากนั้นยังช่วยให้มีสมาธิดีอีกด้วย ถ้ารับประทานส้มเป็นประจำ จะทำให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น วิตามินซีช่วยในการเก็บแร่ธาตุได้ดีขึ้น เช่น ธาตุเหล็กและแคลเซี่ยม ธาตุสองชนิดนี้ช่วยป้องกันโรคโลหิตจางและโรคกระดูกผุ Flavolnoide ในส้มช่วยหยุดการเจริญเติบโตของมะเร็งในระบบย่อยอาหารและมะเร็งในเต้านม วิตามินซีทำให้เซลผิวหนังแข็งแรงทนทาน
น้ำมันดอกส้มใช้ผสมน้ำในอ่างอาบน้ำสำหรับอาบ ช่วยทำให้จิตใจสงบและคลายความเครียดได้ ดื่มชาดอกส้มก่อนนอน ช่วยในการหลับได้เป็นอย่างดี
มะละกอ (Papaya) ต้นกำเนิดในประเทศอเมริกากลาง ปัจจุบันมีปลูกกันมากในอเมริกาใต้และแถบเอเซีย,ฮาวาย, อินเดีย,ไทยและอัฟริกา มะละกอมีประโยชน์ต่อ
สุขภาพมาก เพราะมีวิตามินหลายชนิด เช่นวิตามิน A,C,E, Flavonoide,
Magnesium, Kalium,Enzyme มะละกอช่วยทำให้เยื้อผิวหนังทั้งข้างในและข้างนอกแข็งแรงทนทาน นอกจากนั้นยังเป็นยาระบายแก้โรคท้องผูก มะละกอและสัปปะรดได้ฉายาว่าเป็นยาวิเศษ เพราะใช้ลดน้ำหนักได้ มะละกอมี Emzyme ทำหน้าที่สำคัญในการเผาผลาญโปรตีน ทำลายสิ่งเน่าเปื่อยที่ตกค้างอยู่ตามผนังลำไส้ ซึ่งถ้าปล่อยไว้เป็นเวลานาน จะทำให้เป็นพิษต่ออวัยวะส่วนนั้นได้ โดยเฉพาะทำให้แก่เร็ว และทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายได้
แตงโมแตงไทย (Melome)
แตงโมแตงไทยมีหลายชนิด แตงโมมีเนื้อสีแดงสีเหลือง รสหวาน หรือที่เรียกกันว่า "แตงโมน้ำตาล" "แตงโมน้ำผึ้ง" แตงไทยก็มีหลายชนิด เช่น แตงไทยตาข่าย แตงไทยน้ำผึ้ง และอื่น ๆ อีกมากมาย มีลักษณะแตกต่างกัน มีลูกกลมและลูกรี แตงโมและแตงไทยส่วนมากมีรสหวานมาก ปัจจุบันมีปลูกในประเทศสเปญ, อิตาลี, อัฟริกาใต้,
อเมริกาใต้, นิวซีแลนด์,อิสราเอล และในแถบเอเซียหลายประเทศ
ดับกระหายและขับน้ำออกจากร่างกาย
แตงโมแตงไทยมีแร่ธาตุมาก จึงได้ชื่อว่าเป็นแหล่ง "น้ำแร่" ไม่เฉพราะแต่ดับกระหายเท่านั้น ในขณะเดียวกันนั้น ยังช่วยขับน้ำและสารพิษออกจากร่างกายอีกด้วย เพราะแตงโมแตงไทยมี Kalium มากกว่าผลไม้ชนิดอื่น ๆ ซึ่งทำหน้าที่ขับสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย ช่วยทำให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น หัวใจและเส้นเลือด, สมองและระบบประสาทดีขึ้น โดยเฉพาะ "แตงโมน้ำผึ้ง" ป้องการโรคเส้นเลือดขอดได้
วิตามินA ในแตงโมแตงไทยช่วยทำให้เยื้อผิวหนังทนทาน แน่นเต่งตึง ช่วยชลอการแก่และยังช่วยทำให้สายตาดี นอกจากนั้นแตงไทยน้ำผึ้งยังมีวิตามิน B3 มากด้วย ข้อควรระวัง...แตงโมแตงไทยที่เสียหรือขึ้นรา ไม่ควรรับประทาน ต้องรีบทิ้งทันที เพราะเชื้อราในแตงโมแตงไทยทำให้เป็นโรคมะเร็งได้ เชื้อราแพร่ขยายตัวได้รวดเร็วมาก
วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554
พลานามัยดีมีความสุข
รับประทานผลไม้ตามฤดูกาล ทำให้ได้คุณค่าและประโยชน์ต่อร่างกาย มากกว่าการสรรหาผลไม้ที่หายากและราคาแพงเพราะผิดฤดูกาล หรือผลไม้ต่างประเทศไกล ๆ ถ้าจะให้คุ้มค่ากับการลงทุน ก็ควรที่จะต้องศึกษา ให้ทราบถึงประโยชน์ของสิ่งที่จะบริโภคก่อน ว่ามีประโยชน์อย่างไร ควรรู้วิธีการเก็บถนอมผลไม้ด้วย จึงจะทำให้ได้วิตามินและสารอาหารอย่างเพียงพอ ผลไม้บางอย่างไม้ควรจัดตกแต่งใส่ถาดรวมกัน เพราะเปลือกของผลไม้บางชนิด มีสารเคมีมากทำให้ผลไม้อื่นเน่าอย่างรวดเร็วได้ ตัวอย่างเช่น กล้วยและแอปเปิ้ลไม่ควรเก็บรวมกับผลไม้อื่น ๆ
เปลือกองุ่นช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดี ช่วยขับล้างกรดที่ตกค้างในท่อปัสสาวะ นอกจากนั้นยังทำลายหินปูนที่เคลือบอยู่ตามฟัน และกำจัดเชื้อแบคทีเรียในปากได้ด้วย
Kiwi (กีวี) มีต้นกำเนิดในประเทศจีน ชาวจีนปัจจุบันเรียกกีวีว่า "ลูกหนาม" ภายหลังต่อมาได้มีการปลูกกีวีในประเทศนิวซีแลนด์ กีวีของแต่ละประเทศ จะมีลักษณะแตกต่างกันเล็กน้อย ของนิวซีแลนด์จะมีผิวหยาบ ก้านใหญ่ ชาว"Maoris" ชนเผ่าดั้งเดิมของนิวซีแลนด์ ได้ตั้งชื่อผลไม้ชนิดนี้ว่า "Kiwi" เรียกตามชื่อของนกชนิดหนึ่งไม่มีปีก (นกป่า) ในกาลต่อมาก็ได้มีประเทศ
คู่แข่ง ซึ่งมีกีวีมากถึงขนาดส่งออกขายเป็นอันดับ ๒ รองจากนิวซีแลนด์ ชาวเยอรมันและชาวออสเตรียบริโภคกีวีมากที่สุด กีวีเป็นผลไม้ที่มีขายตลอดปี เป็นผลไม้ที่มีวิตามิน C (มากเกือบเท่ามะนาวและส้ม),Magnesium,Kalzuim;Kalium ช่วยในการบรรเทาความเครียด และปรับการทำงานของกล้ามเนื้อให้ดีขึ้น วิตามิน C ในกีวีช่วยป้องกันโรคไข้หวัดได้
ข้อควรระวัง... สำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ไม่ควรรับประทานกีวี เพราะในกีวีมีธาตุและสารอาหารที่ไม่เอื้ออำนวยต่อผู้เป็นโรคภูมิแพ้
(ยังมีต่ออีก)
ผลไม้ที่หาง่ายตามฤดูกาลหรือผลไม้ที่มีตลอดปีเช่น
องุ่น มีต้นกำเนิดในเอเซียกลาง ปัจจุบันมีปลูกทั่วโลกมากกว่าแอปเปิ้ล, ส้มและกล้วย โดยเฉพาะในยุโรปกลาง และยุโรปตอนใต้ มีสวนไวน์ในหลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศส, อิตาลี, ออสเตรีย, สเปญและเยอรมัน นอกจากนั้นยังมีคู่แข่งอีกมากมาย เช่น ยุโรปตะวันออก, รัฐแคลิฟลอเนียและอัฟริกา "องุ่น" มีวิตามิน A,C,E และวิตามินกรุ๊ป B (ไม่รวมB12) มีธาตุเหล็ก,Kalzium,Kalium องุ่นลดความดัน, ป้องกันโรคหัวใจวาย, ป้องกันเส้นเลือดขอด, ลดไขมันในเส้นเลือด, ต่อต้านความเครียด,ป้องกันโรคมะเร็งได้ ละลายไขมันและขับสารพิษต่าง ๆ ออกจากอวัยวะต่าง ๆเปลือกองุ่นช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดี ช่วยขับล้างกรดที่ตกค้างในท่อปัสสาวะ นอกจากนั้นยังทำลายหินปูนที่เคลือบอยู่ตามฟัน และกำจัดเชื้อแบคทีเรียในปากได้ด้วย
Kiwi (กีวี) มีต้นกำเนิดในประเทศจีน ชาวจีนปัจจุบันเรียกกีวีว่า "ลูกหนาม" ภายหลังต่อมาได้มีการปลูกกีวีในประเทศนิวซีแลนด์ กีวีของแต่ละประเทศ จะมีลักษณะแตกต่างกันเล็กน้อย ของนิวซีแลนด์จะมีผิวหยาบ ก้านใหญ่ ชาว"Maoris" ชนเผ่าดั้งเดิมของนิวซีแลนด์ ได้ตั้งชื่อผลไม้ชนิดนี้ว่า "Kiwi" เรียกตามชื่อของนกชนิดหนึ่งไม่มีปีก (นกป่า) ในกาลต่อมาก็ได้มีประเทศ
คู่แข่ง ซึ่งมีกีวีมากถึงขนาดส่งออกขายเป็นอันดับ ๒ รองจากนิวซีแลนด์ ชาวเยอรมันและชาวออสเตรียบริโภคกีวีมากที่สุด กีวีเป็นผลไม้ที่มีขายตลอดปี เป็นผลไม้ที่มีวิตามิน C (มากเกือบเท่ามะนาวและส้ม),Magnesium,Kalzuim;Kalium ช่วยในการบรรเทาความเครียด และปรับการทำงานของกล้ามเนื้อให้ดีขึ้น วิตามิน C ในกีวีช่วยป้องกันโรคไข้หวัดได้
ข้อควรระวัง... สำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ไม่ควรรับประทานกีวี เพราะในกีวีมีธาตุและสารอาหารที่ไม่เอื้ออำนวยต่อผู้เป็นโรคภูมิแพ้
มะม่วง มีต้นกำเนิดในประเทศอินเดีย, จีนใต้และฟิลิปปินส์ ภายหลังต่อมามีปลูกได้แทบทั่วโลก
ต้นมะม่วงมีขนาดสูงสุดถึง ๒๐ เมตร สูงอันดับหนึ่งคือประเทศอินเดีย มะม่วงปลูกได้หลายประเทศ เช่น อัฟริกา, รัฐฟลอริดา,อิสราเอล,อเมริกาใต้,อิสราเอลและไทย ในอินเดียนับถือมะม่วงว่าเป็น"ผลไม้ระดับโลกและราชาแห่งผลไม้ทั้งหลาย" มะม่วงเป็นผลไม้ที่มีวิตามินกรุ๊ป B ซึ่งมีอิทธิพลต่อระบบประสาทในทางบวก มีแร่ธาตุและสารอาหารเป็นจำนวนมาก ทำให้ผิวสวย หุ่นดีและอารมณ์ร่าเริง เพราะว่ามีวิตามินหลายชนิดในมะม่วง เช่น วิตามิน A,B,C,E (,Flavonoide) Karotinoide ในเยื้อเนื้ออ่อนช่วยรักษากระเพาะและลำไส้อักเสบหรือเป็นแผล ช่วยรักษาโรคแพ้แสง วิตามิน C และ E ช่วยป้องกันและเสริมสร้างเซลให้สมบูรณ์ด้วย
ข้อควรระวัง..ไม่ควรนำมะม่วงดิบเก็บในตู้เย็น เพราะความเย็นไม่สามารถทำให้มะม่วงสุกได้ และน้ำหวานของมะม่วง ถ้าหยดถูกเสื้อผ้าจะซักไม่ออก
วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554
เสริมความรู้เพื่อสุขภาพกาย
สังขารา อันว่าสังขารและธรรมทั้งหลาย
อะนิจจา วะตะ ไม่เที่ยงหนอ
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "สังขารเป็นของเสื่อม เป็นของน่าเกลียด เป็นของสกปรก เป็นแหล่งเกิดทุกข์ทั้งปวง" ท่านผู้ใดมีความเห็นตรงตามนี้ ท่านผู้นั้นย่อมมีโอกาส เข้าถึงพระสัจจธรรม ร่างกายหรือสังขารเรานี้ ไม่เที่ยงจึงเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ดังนั้นเราจึงควร ที่จะศึกษาหาความรู้เพื่อบรรเทาความทุกข์ โดยเฉพาะร่างกายนี้เป็นที่อาศัยของจิต ถ้าร่างกายเจ็บป่วยจิตก็จะพลอยเจ็บป่วยไปด้วย การมีสุขภาพแข็งแรงก็เหมือนได้ลาภอันประเสริฐ ทำให้เราสามารถใช้กายนี้ทำกิจการงานต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงควรศึกษาและ "เสริมความรู้เพื่อสุขภาพ"
ด้วยการรู้จักบริโภคสิ่งที่มีคุณค่า และมี ประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งต่อไปนี้จะขอแนะนำ เกี่ยวกับผลไม้นานาชนิด ที่หาได้ไม่ยากนัก และราคาก็ไม่แพงมาก
สวยจากข้างในด้วยการรับประทานผลไม้
Acocado ต้นกำเนิดที่ประเทศเม็คซิโก ปัจจุบันมีปลูกในหลายประเทศ เช่น รัฐแคลิฟอร์เนีย
อเมริกาใต้,เอเซีย, อัฟริกาและอิสราเอล อะโวกาโด้ มีประมาณ ๔๐๐ ชนิด เป็นผลไม้ที่เหมาะที่สุดสำหรับการเดินทางไกล เพราะเก็บไว้ได้นาน มีไขมันในเนื้อผลไม้ประมาณ ๒๕ เปอร์เซ็นมีวิตามินกรุ๊ป B และมี Lezithin ( สารช่วยในการเปลี่ยนเซลประสาท) อะโวกาโด้ทำให้สวยและอารมณ์ดีร่าเริง เพราะเป็นผลไม้ที่มีแร่ธาตุสารอาหารมากกว่าผลไม้ชนิดอื่น ๆ โดยเฉพาะ
วิตามิน B6 ( สำคัญต่อสุขภาพจิต) วิตามิน B3 (ช่วยระบบย่อยอาหาร,ผิว,ระบบประสาทและควบคุมไขมันในเส้นเลือด) นอกจากนั้น Avocado ยังได้รับฉายานามว่า "นักล่า" เพราะสามารถลดไขมันในเส้นเลือดและลดน้ำตาลในเส้นเลือดได้ สาร Linolen ในผลไม้ทำให้สุขภาพจิตดี มีสมาธิในการทำงานต่าง ๆ ได้ดี ใช้เป็นยารักษาแผลในกระเพาะ และโรคลำไส้อักเสบได้ นอกจากนั้นยังใช้ลดอาหารได้ด้วย ชาวอินเดียแดงยกย่องอะโวกาโด้ว่าเป็น "ยาวิเศษ"
มะเฟือง(Karambole) ต้นกำเนิดมาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันปลูกได้ในหลายประเทศ
เช่น จีน ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย รัฐฟลอริด้า อเมริกาใต้ชาวยุโรปเรียก"ผลไม้ดาว"ชาวจีนสมัยโบราญใช้ทำน้ำส้ม ชาวอินโดนีเซียใช้ทอดเป็นอาหาร ชาวมาเลเซียใช้ต้มในน้ำหวาน มะเฟืองเป็นผลไม้ที่มีวิตามินมากมีวิตามินเอและวิตามินซี ธาตุเหล็ก, แมกเนเซี่ยม,
แคลเซี่ยมฟอสฟอรัส ผู้ที่เป็นโรคนิ่วในไต หรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไต ไม่ควรรับประทานมะเฟืองเป็นจำนวนมาก เพราะมีกรดชนิดหนึ่งในมะเฟืองซึ่งจะทำให้เกิดนิ่วในไตได้
เชอรี่(Cherry) อยากมีหุ่นดีและสวย แข็งแรงสมบูรณ์ ควรรับประทานเชอรรี่ เพราะเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มากชนิดหนึ่ง เช่น ช่วยลดกรดในท่อปัสสาวะ ช่วยระบบย่อย
ช่วยล้างสารพิษในตับ ฆ่าเชื้อโรค ขับน้ำส่วนเกินออกจากเยื้อผิวหนัง
ลดน้ำตาลในเส้นเลือด ทำให้ผิวเต็งตึง มีธาตุเหล็ก ธาตุทองแดงมาก การสร้าง Kollagen ใหม่ ในเชอรี่ มีวิตามินซีและธาตุสังกะสี
คอลลาเจ็นคือแหล่งของโปรตีน สร้างเยื้อผิวหนังให้แข็งแรงทนทาน
แน่นตึงและเนียน ไม่เฉพาะแต่ผิวภายนอกเท่านั้น อวัยวยะภายในด้วย
นอกจากนั้น ยังทำให้เล็บแข็งแรงและเส้นผมสวยเป็นเงางามทนทานอีกด้วย
วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ศิลปะในการบริโภค
สุขภาพดีเพราะมีศิลปะในการบริโภค
บริโภคเพื่อยังชีพ มิใช่ยังชีพเพื่อบริโภค อันร่างกายเรานี้ ดำรงอยู่ได้ด้วยปัจจัย ๔ อันได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ชีวิตจะขาดปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตดำรงอยู่ได้โดยไม่เป็นทุกข์มาก ถ้ารู้จักความพอเพียง ท่านหลวงพ่อพุทธทาสได้กล่าวถึงปัจจัยที่สำคัญมากอีกปัจจัยหนึ่ง คือ "ธรรมะ" ชีวิตที่ไม่มีธรรมะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจนั้น ย่อมเป็นชีวิตที่ไร้ค่าและเสียชาติเกิด อยู่บนโลกเหมือนคนตาบอด ไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้แก่ตนเองได้ในยามเดือดร้อน ไม่สามารถแก้ปัญหาให้ตนเองได้ ปัจจัยสุดท้ายนี้สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ปรารถนาอยากจะมีความสุขในชาตินี้และชาติหน้า การได้พบพระธรรม ถือว่าเป็นลาภอันประเสริญ เปรียบเสมือนได้พบขุมทรัพย์มหาศาล อันเป็น "อริยทรัพย์" ที่สามารถนำติดตัวไปได้ทุกหนทุกแห่ง พระธรรมเป็นของสูง เป็นของผู้มีบุญบารมี ที่เคยได้สะสมมาแต่ชาติบปางก่อน ชาตินี้จึงได้มีโอกาสได้ศึกษาและฟังธรรมต่อ จนกว่าจะสิ้นความสงสัย และจนกว่าจะสามารถละความเห็นผิดและความไม่รู้ (อวิชชา)ได้ ร่างกายประกอบขึ้นจากมหาภูตรูป ๔ ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ธาตุทั้งสี่นี้ ถ้าขาดความสมดุลย์กัน ก็จะมีผลกระทบต่อระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกด้วย เช่นถ้าร่างกายขาดสารอาหารประเภท แคลเซี่ยม ก็จะมีความผิดปกติ เกี่ยวกับกระดูกอันเป็นโครงร่างสำคัญของร่างกาย หากขาดแคลเซี่ยมมากตั้งแต่ยังเยาววัย ร่างกายจะมีการพัฒนาและเจริญเติบโตช้า อาจเป็นโรคปวดตามข้อกระดูกหรือโรคไขข้อได้ด้วย และยังมีผลกระทบถึงสภาวะทางจิตด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องมีศิลปะในการบริโภคอาหารอย่างถูกต้อง
คำว่า "ศิลปะ" แปลว่า ความสามารถ หมายถึงมีความสามารถในการเลือกสรรหาอาหารที่มีประโยชน์ มีความสามารถในการปรุงอาหาร การเก็บถนอมอาหาร ถูกหลักอนามัย บริโภคแล้วให้คุณต่อร่างกาย ร่างกายนี้ไม่รู้อะไร เขาไม่อยากกินโน่นกินนี่ หรืออยากกินของแปลก ๆ รสเด็ดรสเลิศอะไรก็ตาม เขาไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ผู้ที่อยากสารพัดไม่ซ้ำเมนูแต่ละวัน ก็คือ "จิต" แต่ที่จริงแล้วจิตเป็นธรรมชาติที่ดีงาม เป็นนามธรรม เขารู้แจ้งอารมณ์เท่านั้นเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ แต่มีนามธรรมอีกชนิดหนึ่ง ที่เกิดพร้อมกับจิตดับพร้อมกับจิต มีอารมณ์เดียวกับจิต และเขาจะปรุงแต่งจิตให้อยากโน่นอยากนี่ เป็นไปในทางกุศลและอกุศล ส่วนใหญ่ก็จะเป็นไปในทางอกุศล จิตสั่งกายให้กระทำ กายจะแข็งแรงมีภูมิต้านทานดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ที่จิตด้วย เรื่องศิลปะในการบริโภคอาหารนี้ ก็จะต้องมีความสามารถในการแยกแยะว่า อาหารประเภทใดมีสารอาหารอะไรบ้าง จำเป็นต่อร่างกายอย่างไรบ้าง และเป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภคด้วย "มัตตัญญุตา จะภัตตัสมิง"
คุณทราบมั้ย."ความเปรี้ยว" ของผลไม้ ป้องกันโรคมะเร็งไม่ให้เกิดได้
สารFlavonoide ที่อยู่ในแอปเปิ้ล หรือผลไม้อื่น ๆ ที่มีรสเปรี้ยว ต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งได้ นักวิจัยด้านโภชนาการชาวอเมริกัน ได้วิจัยเกี่ยวกับการบริโภคอาหารของคนในยุคสมัยใหม่และพบว่า คนส่วนใหญ่บริโภคอาหารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย บริโภคผักและผลไม้น้อยมาก ไม่ค่อยออกกำลังสม่ำเสมอ มีความเครียดมาก นอกจากนั้นยังติดบุหรี่หรือของมึนเมา, กินของมัน และเนื้อสัตว์ปริมาณมาก ปัจจุบันนี้ได้มีคนเป็นโรคทันสมัยกันมาก คือ โรคเครียด โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจวาย โรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนของโลหิต
จากการวิจัยของนักวิจัยด้านโภชนาการของประเทศอังกฤษ ได้ทดลองกับเด็กจำนวน ๒,๕๐๐ คน สรุปผลดังนี้ เด็กที่ไม่ชอบกินผลไม้ จะมีปอดที่มีสมรรถภาพในการทำงานต่ำกว่า เด็กที่ชอบกินผลไม้วันละสองเวลา ต่างกัน ๔ เปอร์เซ็นต์
คุณทราบมั้ยว่า "สับปะรด" มีวิตามินและแร่ธาตุสารอาหาร ๑๖ ชนิด สับปะรดเป็น "ราชินีแห่งผลไม้ของอเมริกาใต้" ใช้ลดน้ำหนัก และยังใช้แก้โรคท้องผูกได้ ดื่มน้ำสัปปะรดคั้นกันท้องผูกได้ คนที่มีปัญหาเรื่องผิวพรรณ อ่อนเพลียและชอบเป็นหวัดบ่อย ๆ สาเหตุเพราะขาด "วิตามินเอ" ควรรับประทานผลไม้หรือผักที่มีสีเหลืองเช่น Aprikosen คุณทราบมั้ยว่า "กล้วย" ทำให้อารมณ์ดี กล้วยมีแร่ธาตุและสารอาหาร ๑๘ ชนิด กล้วยได้รับฉายานามว่า "ยาโดบ" ความเชื่อผิด ๆ ที่ว่ารับประทานกล้วยมากทำให้อ้วน
กล้วยหนึ่งใบมีแคลอรี่เพียงประมาณ ๔๐ เปอร์เซ็นต์ กล้วยใช้ลดน้ำหนักได้เพราะในกล้วยมีแร่ธาตุสารอาหารมาก และกล้วยเป็นผลไม้ที่ทำให้มีความสุข เพราะมีสาร Serotonin "สารสุข" ก่อนนอนรับประทานกล้วยทำให้หลับสบายได้
วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ทำอย่างไรจึงจะมีความสุข
ใคร ๆ ก็ต้องการที่จะมีแต่ความสุข ทั้ง ๆ ที่ก็ทราบดีว่า ความสุขนั้นก็ไม่เที่ยง เพราะเป็น นามธรรม และเป็น ธรรมะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "สัพเพธัมมา" แปลว่า ทุกสิ่งเป็นธรรมะ "สัพเพธัมมาอนัตตา" ธรรมทั้งหลายเป็นสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยเพื่อให้จิตรู้ แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว มีจิตดวงใหม่เกิดขึ้น รับอารมณ์สืบต่อแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว จนดูเหมือนกับว่ายังไม่ดับ เป็นเพียงสภาวะธรรมไม่ใช่ตัวเรา สัตว์ บุคคลใด ๆ ทั้งสิ้น ผู้ใดมีความเห็นตรงตามความเป็นจริง (สัมมาทิฏฐิ) เช่นนี้ ย่อมละคลายความยึดถือว่าเป็นตัวเราได้ และย่อมจะมีความสุข จากการละคลาย การยึดมั่นถือมั่นในสภาวะธรรมต่าง ๆ ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้
ความสุขมี ๒ ประเภท คือ ความสุขกาย (เวทนาทางกาย) และความสุขใจ (โสมนัส) ใจหรือจิตนี้ยังต้องพึ่งพาอาศัยกายในการทำกิจต่าง ๆ เช่นตาเห็นรูป เพราะจิตอาศัยจักขุปสาทรูปเป็นที่เกิด จึงทำให้เห็น(จิตเห็นหรือจักขุวิญญาณ) เกิด ใจอาศัยกายเพื่อสร้างกรรมใหม่ และเสวยวิบาก (ผลของกรรม) กรรมเก่าและวิบากกรรมใหม่ด้วย กายและใจหรือจิตนี้ยังแยกออกจากกันไม่ได้ ตราบใดที่ยังไม่ใช่อริยบุคคลขั้น "พระอคานามี" จิตก็ยังติดข้องอยูกับ กิเลส ตัณหา และอุปาทานขันธ์ ๕ ยังติดอยู่ใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสและความนึกคิดต่าง ๆ ไม่จบสิ้น
ความสุขทางกาย การมีสุขภาพดี มีร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคดี ไม่เจ็บไม่ป่วยบ่อย ถือว่าเป็น "ลาภอันประเสริฐ" การที่จะมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีนั้น ก็จะต้องมีการบริหารร่างกายอย่างถูกต้องตามหลักอนามัยหรือที่เรียกกันว่า "สุขบัญญัติ ๑๐ ประการ " ซึ่งทุกคนก็คงจะทราบดี เพราะได้เรียนและท่องกันจนจำได้ขึ้นใจ ตั้งแต่เรียนชั้น ป.๑ แล้ว ถ้าเรานำมาปฏิบัติตามที่เราจำได้นั่นแหละ ต้องปฏิบัติให้ได้อย่างสม่ำเสมอด้วยจึงจะเห็นผล การที่จะทำอะไรให้สำเร็จได้ตามเป้าหมาย ก็จะต้องมี "ฉันทะ" คือความพอใจเต็มใจที่จะทำด้วย และตามด้วย "วิริยะ" คือความเพียรขยันที่จะทำจนกว่าจะประสบความสำเร็จ นอกจากนั้นคุณธรรมที่สำคัญซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญยังมีอีก ก็คือ "ขันติ" แปลว่า ความอดทน ๆ ต่ออุปสรรคที่มาขัดขวางในการทำงานต่าง ๆ "ขันติ ปะระมัง ตะโปตีติกขา" ขันติ คือความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลส
การศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับอาหารการกิน เพื่อเสริมประสิทธิภาพให้แก่ร่างกายและจิตใจด้วย เพราะว่าร่างกายแข็งแรงดี จิตใจก็พลอยเข้มแข็งเบิกบานร่าเริงไปด้วย ใจอยากทำอะไร กายก็ทำตามที่ใจปรารถนาได้ ถ้ากายเจ็บป่วยก็ไม่สามารถที่จะรับใช้ตามความต้องการของใจได้ ใจก็จะเกิดความขัดแย้ง (โทสะ) หรือความไม่พอใจ มีอารมณ์เศร้าหมอง การพัฒนาสุขภาพกายให้มีประสิทธิภาพสามารถต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ให้เบียดเบียนได้ง่าย เป็นการป้องกันไว้ก่อน ดีกว่าแก้ทีหลัง ก็จะเข้าทำนอง "วัวหายล้อมคอก" ถ้าเป็นเช่นนี้คงไม่ดีแน่
สมบูรณ์ด้วยการบริโภคผลไม้
ชาวยุโรปได้หันมาสนใจบริโภค "ผลไม้" กันเป็นส่วนใหญ่มากกว่าเมื่อก่อน เพราะว่าปัจจุบันนี้ ได้มีผลไม้นานาชนิดจากประเทศแถบอากาศร้อน ได้ส่งเข้าไปขายอย่างมากมาย โดยเฉพาะชาวอังกฤษได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บริโภค "ผลไม้"ตัวยง เนื่องจากว่า การขนส่งลำเรียงผลไม้สดในปัจจุบันนี้ สะดวกกว่าเมื่อสมัยโรมและกรีกโบราญมาก แต่ถึงกระนั้นในยุคนั้น ก็ยังมีการปลูกองุ่นและแอปเปิ้ลกันมากในพื้นที่ดินทั่วไป และยังมีการนำเมล็ดไม้ผลจากที่อื่นเข้ามาปลูกในยุโรป ในกาลต่อมาหลายชนิด จนถึงปัจจุบันนี้
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญวิจัยเกี่ยวกับโภชนาการ ได้วิจัยเกี่ยวกับการบริโภคผลไม้ ได้กล่าวว่า "ถ้าบุคคลใดรับประทานผลไม้สด วันละ ๒๕๐ กรัม สามารถป้องกันการเจ็บป่วยได้ เพื่อป้องกันโรคมะเร็งหรือโรคชนิดอื่น ๆ จำเป็นต้องจำกัดจำนวนหรือปริมาณการบริโภคด้วย จึงจะได้ผล" นายพาโรล ผู้เชี่ยวชาญของอเมริกาได้แนะนำว่า "รับประทานแอปเปิ้ล วันละ ๑ ผล, กล้วยวันละ ๑ ลูก, ดื่มน้ำผลไม้สดคั้นวันละ ๑ แก้ว, ผักสลัดสดและแครอทสด วันละหนึ่งจาน" รับรองว่าท่านจะไกลจากหมอ คือไม่เจ็บไม่ป่วยบ่อย ก็ไม่ต้องการใกล้หมอ
ความสุขมี ๒ ประเภท คือ ความสุขกาย (เวทนาทางกาย) และความสุขใจ (โสมนัส) ใจหรือจิตนี้ยังต้องพึ่งพาอาศัยกายในการทำกิจต่าง ๆ เช่นตาเห็นรูป เพราะจิตอาศัยจักขุปสาทรูปเป็นที่เกิด จึงทำให้เห็น(จิตเห็นหรือจักขุวิญญาณ) เกิด ใจอาศัยกายเพื่อสร้างกรรมใหม่ และเสวยวิบาก (ผลของกรรม) กรรมเก่าและวิบากกรรมใหม่ด้วย กายและใจหรือจิตนี้ยังแยกออกจากกันไม่ได้ ตราบใดที่ยังไม่ใช่อริยบุคคลขั้น "พระอคานามี" จิตก็ยังติดข้องอยูกับ กิเลส ตัณหา และอุปาทานขันธ์ ๕ ยังติดอยู่ใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสและความนึกคิดต่าง ๆ ไม่จบสิ้น
ความสุขทางกาย การมีสุขภาพดี มีร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคดี ไม่เจ็บไม่ป่วยบ่อย ถือว่าเป็น "ลาภอันประเสริฐ" การที่จะมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีนั้น ก็จะต้องมีการบริหารร่างกายอย่างถูกต้องตามหลักอนามัยหรือที่เรียกกันว่า "สุขบัญญัติ ๑๐ ประการ " ซึ่งทุกคนก็คงจะทราบดี เพราะได้เรียนและท่องกันจนจำได้ขึ้นใจ ตั้งแต่เรียนชั้น ป.๑ แล้ว ถ้าเรานำมาปฏิบัติตามที่เราจำได้นั่นแหละ ต้องปฏิบัติให้ได้อย่างสม่ำเสมอด้วยจึงจะเห็นผล การที่จะทำอะไรให้สำเร็จได้ตามเป้าหมาย ก็จะต้องมี "ฉันทะ" คือความพอใจเต็มใจที่จะทำด้วย และตามด้วย "วิริยะ" คือความเพียรขยันที่จะทำจนกว่าจะประสบความสำเร็จ นอกจากนั้นคุณธรรมที่สำคัญซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญยังมีอีก ก็คือ "ขันติ" แปลว่า ความอดทน ๆ ต่ออุปสรรคที่มาขัดขวางในการทำงานต่าง ๆ "ขันติ ปะระมัง ตะโปตีติกขา" ขันติ คือความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลส
การศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับอาหารการกิน เพื่อเสริมประสิทธิภาพให้แก่ร่างกายและจิตใจด้วย เพราะว่าร่างกายแข็งแรงดี จิตใจก็พลอยเข้มแข็งเบิกบานร่าเริงไปด้วย ใจอยากทำอะไร กายก็ทำตามที่ใจปรารถนาได้ ถ้ากายเจ็บป่วยก็ไม่สามารถที่จะรับใช้ตามความต้องการของใจได้ ใจก็จะเกิดความขัดแย้ง (โทสะ) หรือความไม่พอใจ มีอารมณ์เศร้าหมอง การพัฒนาสุขภาพกายให้มีประสิทธิภาพสามารถต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ให้เบียดเบียนได้ง่าย เป็นการป้องกันไว้ก่อน ดีกว่าแก้ทีหลัง ก็จะเข้าทำนอง "วัวหายล้อมคอก" ถ้าเป็นเช่นนี้คงไม่ดีแน่
สมบูรณ์ด้วยการบริโภคผลไม้
ชาวยุโรปได้หันมาสนใจบริโภค "ผลไม้" กันเป็นส่วนใหญ่มากกว่าเมื่อก่อน เพราะว่าปัจจุบันนี้ ได้มีผลไม้นานาชนิดจากประเทศแถบอากาศร้อน ได้ส่งเข้าไปขายอย่างมากมาย โดยเฉพาะชาวอังกฤษได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บริโภค "ผลไม้"ตัวยง เนื่องจากว่า การขนส่งลำเรียงผลไม้สดในปัจจุบันนี้ สะดวกกว่าเมื่อสมัยโรมและกรีกโบราญมาก แต่ถึงกระนั้นในยุคนั้น ก็ยังมีการปลูกองุ่นและแอปเปิ้ลกันมากในพื้นที่ดินทั่วไป และยังมีการนำเมล็ดไม้ผลจากที่อื่นเข้ามาปลูกในยุโรป ในกาลต่อมาหลายชนิด จนถึงปัจจุบันนี้
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญวิจัยเกี่ยวกับโภชนาการ ได้วิจัยเกี่ยวกับการบริโภคผลไม้ ได้กล่าวว่า "ถ้าบุคคลใดรับประทานผลไม้สด วันละ ๒๕๐ กรัม สามารถป้องกันการเจ็บป่วยได้ เพื่อป้องกันโรคมะเร็งหรือโรคชนิดอื่น ๆ จำเป็นต้องจำกัดจำนวนหรือปริมาณการบริโภคด้วย จึงจะได้ผล" นายพาโรล ผู้เชี่ยวชาญของอเมริกาได้แนะนำว่า "รับประทานแอปเปิ้ล วันละ ๑ ผล, กล้วยวันละ ๑ ลูก, ดื่มน้ำผลไม้สดคั้นวันละ ๑ แก้ว, ผักสลัดสดและแครอทสด วันละหนึ่งจาน" รับรองว่าท่านจะไกลจากหมอ คือไม่เจ็บไม่ป่วยบ่อย ก็ไม่ต้องการใกล้หมอ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)